....

กาลามสูตร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
1 อนุสสวะ 2 ปรัมปรา 3 อิติกิรา

4 ปิฏกสัมปทาน 5 ตักกะ 6 นยะ 7 อาการปริวิตักกะ
8 ทิฏฐินิชฌานักขันติ 9 ภัพพรูปตา 10 สมโณ โน ครูติ
pimpun15@gmail.com

คะแนนสะสม

บทที่ ๓ - คะแนนสะสม

ถ้าชีวิตคุณเป็นทุกข์ แปลว่าคุณกำลังมีคะแนนติดลบชั่วคราว
วิธีคิดคะแนนในเกมกรรม
เกมทั่วไปมักมีการสะสมคะแนนเป็นบวกขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วตัดสินแพ้ชนะกันตรงที่ใครได้คะแนนมากกว่าเมื่อหมดเวลาเล่น เช่นในเกมฟุตบอลพอหมดเวลาใครยิงประตูได้มากกว่ากัน หรือตัดสินกันตรงที่ใครได้คะแนนตามเป้าก่อนคู่แข่งขัน เช่นในเกมปิงปองข้างใดทำคะแนนถึง ๑๑ ก่อนก็ชนะไป
ส่วนเกมกรรมจะไม่ใช่เช่นนั้น นอกจากสะสมคะแนนบวกแล้ว ยังมีการสะสมคะแนนลบอีกด้วย คะแนนทั้งบวกและลบจะสั่งสมไปเรื่อยๆจนกว่าจะจบเกมแล้วตัดสินรวบยอดเมื่อตายลงในชาติหนึ่งๆ ในระหว่างมีชีวิตแม้จะปรากฏร่องรอยการสั่งสมคะแนนบ้าง เช่นปกติมีสีหน้าหมองคล้ำ หรือมีรอยยิ้มที่บริสุทธิ์เบิกบานเป็นประจำ ก็ไม่ชัดเจนเท่าเมื่อธรรมชาติกรรมวิบากพิพากษายามขาดใจตาย เพราะใบหน้าทั้งหมดจะถูกปรับเปลี่ยน แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
สำหรับคะแนนบวกจะหมายถึงบุญ อันเป็นตัวบันดาลให้ใจเป็นสุข และบันดาลชีวิตให้เป็นไปในทางดี ส่วนคะแนนลบจะหมายถึงบาป อันเป็นตัวบันดาลให้ใจเป็นทุกข์ และบันดาลชีวิตให้เป็นไปในทางร้าย ขอให้เข้าใจว่าคะแนนบุญกับคะแนนบาปจะไม่นำมาหักลบกัน บุญให้ผลในทางดีส่วนหนึ่ง เป็นต่างหากจากที่บาปก็ให้ผลในทางร้ายอีกส่วนหนึ่ง เช่นชอบด่าคนสาดเสียเทเสียจนติดนิสัย ผลอาจทำให้ปากเบี้ยวไม่น่าดู แต่ตอนถวายทานแด่สมณะมีความเลื่อมใสในทาน มีความศรัทธาในผลของทาน ผลย่อมปรุงแต่งให้ผิวพรรณงดงาม สรุปออกมาชาติใหม่คือรูปร่างและผิวพรรณงดงามแต่เป็นคนปากเบี้ยว เป็นต้น
การเก็บคะแนนแต่ละแต้มนั้น วัดกันด้วยนิสัยที่ตั้งมั่นถาวรระดับหนึ่ง คือไม่ใช่แค่ทำความดีหนึ่งครั้งแล้วเก็บได้หนึ่งคะแนน และไม่ใช่ทำความชั่วหนึ่งครั้งแล้วถูกหักหนึ่งคะแนน คุณจะต้องทำดีอะไรอย่างหนึ่งเป็นปกติ จึงจะเพิ่มคะแนนบวกหนึ่งคะแนน และจะต้องทำชั่วอะไรสักอย่างเป็นประจำ จึงจะเพิ่มคะแนนลบหนึ่งคะแนน ส่วนการทำดีชั่วเพียงชั่วครู่ชั่วยามจะถูกนำไปเก็บในรูปของแต้มปลีกย่อยต่างหาก และไม่ถูกนำมาคิดคำนวณตัดสิน ‘แพ้ชนะ’ ยามเลิกเล่นเกมในแต่ละชาติจริงจังนัก

การตัดสินจากผลคะแนนรวม

คล้ายคุณเล่นเกมที่ทำแต้มแลกของรางวัล พอเล่นเสร็จก็จะมีคนตรวจดูว่าคุณได้กี่แต้ม แล้วเอาของรางวัลมามอบให้คุณตามเกณฑ์ ซึ่งอาจมีความสมน้ำสมเนื้อหรือบิดพลิ้วก็ขึ้นอยู่กับความยุติธรรมของกรรมการตัดสิน แต่สำหรับเกมกรรมนั้น พอเล่นเกมจบในแต่ละชีวิต ธรรมชาติจะพิจารณาอย่างเที่ยงธรรมว่าคุณมีแต้มบวกสมควรได้รับรางวัลเป็นอะไรบ้าง รวมทั้งดูด้วยว่าคุณมีแต้มลบสมควรได้รับบทลงโทษสักแค่ไหน
ในที่นี้เพื่อความเข้าใจง่ายและเห็นภาพรวมได้ชัด จะขอกล่าวเฉพาะสมบัติ ๑๐ ข้อที่ทุกคนต้องมีเมื่อเป็นมนุษย์ แต่ละข้อใช้เป็นเครื่องชี้ว่าเอาคะแนนเป็นบวกหรือเป็นลบมาแลก

๑) พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ผู้ปกครองที่เลี้ยงดูคุณ เฉพาะที่มีอิทธิพลกับชีวิตตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของคุณ หากคุณได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี มีการเอาใจใส่ ทำให้โตขึ้นมาด้วยความรู้สึกอบอุ่นมั่นคง ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากท่านหรือพวกท่านทำให้คุณโตขึ้นมาท่ามกลางความสับสน ว้าเหว่ และไม่มีฐานความรู้สึกที่มั่นคง ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากคุณรู้สึกว่าโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูแบบครึ่งดีครึ่งร้าย ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๒) เพศ คุณจะเป็นชายหรือหญิงไม่สำคัญ สำคัญที่คุณภูมิใจในเพศของตนเองหรือไม่ หากภูมิใจ ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากคุณมีปมทางเพศ ไม่ชอบเพศตนเอง อยากเป็นเพศอื่น ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากคุณไม่มีความภูมิใจ ขณะเดียวกันก็ไม่มีความเสียใจในเพศของตนเอง ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๓) รูปร่างหน้าตา ตลอดจนผิวพรรณ ถ้าปกติรู้สึกว่าเดินไปไหนมาไหนแล้วเด่นเกินใครเป็นประจำ ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากไปไหนมาไหนแล้วรู้สึกตลอดเวลาว่ามีปมด้อยเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากมีความรู้สึกประมาณไม่น้อยหน้าใคร ขณะเดียวกันก็ไม่เกินหน้าใคร ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๔) แก้วเสียง ขอให้นับเอาตอนพูดปกติ อย่าดูตอนร้องเพลงหรือพยายามดัดเสียงเฉพาะกิจ หากคุณภาพเสียงเป็นที่ยอมรับสำหรับตัวคุณเองและคนรอบข้าง ว่าเป็นกังวานน่าฟัง หรือมีอำนาจดึงดูดใจในทางดี ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากเสียงแหบแห้งไม่น่าฟัง หรือคุณได้ยินตัวเองเปล่งเสียงจากเครื่องบันทึกแล้วรู้สึกระคายโสต ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากน้ำเสียงของคุณฟังธรรมดา ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๕) สุขภาพ รวมทั้งกำลังวังชาที่จะทุ่มเททำงาน หากคุณรู้สึกว่าร่างกายโปร่งเบา เคลื่อนไหวได้กระฉับกระเฉงไม่ติดขัด ตลอดจนทำงานหนักได้เต็มที่โดยไม่เหนื่อยง่าย ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากคุณรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง มีอวัยวะบกพร่องเป็นเหตุให้เคลื่อนไหวจำกัด หรือกระทั่งขี้เกียจเพียงเพราะเหตุผลตื้นๆคือร่างกายอ่อนแอ ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากสุขภาพของคุณอยู่ในระดับพอใช้ได้ ไม่เหนื่อยง่ายเกินไป แต่ก็ไม่เป็นเหตุให้กระตือรือร้นอยากใช้กำลังเยี่ยงนักกีฬา ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๖) ฐานะ ไม่ใช่วัดกันที่ตัวเลขในบัญชีธนาคาร แต่วัดกันที่ความสบายใจ ความรู้สึกมั่นคงในทรัพย์สินและความสามารถใช้จ่ายตามจำเป็น อย่างน้อยซื้อหาปัจจัย ๔ คืออาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคได้ตลอดไม่ขาดสาย หากรู้สึกว่าคุณมีอำนาจจับจ่ายใช้สอยตามใจชอบได้เกินกว่าปัจจัย ๔ ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากคุณอึดอัดกลุ้มใจเกี่ยวกับการเงินที่ลุ่มๆดอนๆ ใช้จ่ายได้แบบกระเบียดกระเสียร หรือกระทั่งเดือดร้อนเรื่องปัจจัย ๔ ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากรู้สึกตึงๆ ไม่มีสำหรับฟุ่มเฟือย แต่มีรายได้เรื่อยๆเพียงพอสำหรับซื้อหาปัจจัย ๔ ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๗) ที่อยู่อาศัย คนรวยไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ที่ดี ลูกเศรษฐีบางคนต้องทนอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตแต่ทึบทึม และเต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมน่าอึดอัด บ้านที่ดีจะก่อความรู้สึกที่ดี และอยู่อาศัยด้วยความปลอดโปร่งสบายใจ เป็นจุดเริ่มต้นดีๆสำหรับชีวิตและการงาน หากคุณมีบ้านที่น่าอยู่ ชวนให้อยากกลับมามีความสุขที่บ้าน แม้ไม่กว้างขวางใหญ่โต ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากคุณมีบ้านที่ไม่ชวนให้อยากพัก ชวนให้อยากออกไปค้างคืนข้างนอก แม้กว้างขวางใหญ่โตโอ่อ่า ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากคุณไม่ถึงกับต้องฝืนใจอยู่ และไม่ถึงกับเจริญตาเจริญใจมากมาย ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๘) ครู ทุกคนต้องมีครู จะหลงลืมหรือระลึกได้ก็ตาม นับแต่ครูอนุบาลเป็นต้นมา บางคนก็มีพ่อแม่ที่บ้านเป็นครู หากใช้ใจของคุณรวมครูทุกคนที่มีอิทธิพลทางความคิดมาเป็นคนๆเดียว แล้วถามตัวเองว่าท่านทำให้คุณมีความรู้ มีความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือมองโลกในแง่ดีร้ายเพียงใด หากครูของคุณโน้มเอียงไปทางสอนให้ขวนขวายหาวิชาใส่ตัวและเป็นคนดีมีศีลธรรม ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากครูของคุณโน้มเอียงไปทางสอนให้ทุจริตคิดคดและเป็นคนเห็นแก่ตัวหมั่นเบียดเบียนคนอื่น ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากครูของคุณไม่โน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ คุณมองโลกดีร้ายด้วยเหตุปัจจัยอื่นๆ ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๙) ความเฉลียวฉลาด หมายถึงความสามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจวิชาต่างๆ ตลอดจนกระทั่งความรวดเร็วในการพบวิธีแก้ปัญหา โลกนี้เต็มไปด้วยปัญหา ผู้แก้ปัญหาได้มากและได้ก่อนคือผู้ที่ฉลาดกว่า หากคุณฉลาดพอจะเอาตัวรอดและช่วยคนอื่นได้มาก ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากคุณฉลาดน้อยและต้องพึ่งพาผู้ฉลาดกว่าเพื่อแก้ปัญหาเสมอๆ ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากคุณเป็นฝ่ายแก้ปัญหาบ้าง เป็นฝ่ายพึ่งพาคนอื่นให้ช่วยแก้ปัญหาบ้าง ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ
๑๐) วิธีใช้สติคิดอ่าน หมายถึงวิธีคิด วิธีมอง ระดับความหนักแน่นคงเส้นคงวาของจิตใจ ตลอดจนความสามารถยับยั้งชั่งใจไม่ให้หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว หากสติและความรู้สึกนึกคิดของคุณทำให้คุณเป็นสุขและเอาตัวรอดได้ในเกือบทุกสถานการณ์ ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นบวกหนึ่ง หากสติและความรู้สึกนึกคิดของคุณลากคุณลงสู่ห้วงทุกข์ทั้งที่ไม่จำเป็น ก็ถือว่าได้คะแนนเป็นลบหนึ่ง แต่หากสติและความรู้สึกนึกคิดของคุณพาจนบ้าง ลากเข้าสู่มุมอับบ้าง สลับกับนำความสุขความเจริญบ้าง ส่องให้เห็นทางออกจากความมืดแปดด้านบ้าง ก็ถือว่าไม่ได้คะแนนทั้งบวกและลบ

จะเห็นว่าสมบัติแต่ละข้อล้วนก่อแนวโน้มว่าชีวิตคุณจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ฉะนั้นเมื่อผสมผสานองค์ประกอบชีวิตเหล่านี้เข้าด้วยกัน ย่อมเป็นประมาณความสุขความทุกข์ที่เกิดประจักษ์กับใจ
๑) –๑๐ ถึง -๖ คะแนน แปลว่าคุณเสวยทุกข์มากที่สุดจากชีวิตมนุษย์
๒) -๕ ถึง -๑ คะแนน แปลว่าคุณเสวยทุกข์มากเอาการจากชีวิตมนุษย์
๓) ๐ แปลว่าคุณครึ่งสุขครึ่งทุกข์ แต่มีความโน้มเอียงที่จะเป็นทุกข์มากกว่าสุข
๔) ๑ ถึง ๕ คะแนน แปลว่าคุณเสวยสุขเป็นอันมากจากชีวิตมนุษย์
๕) ๖ ถึง ๑๐ คะแนน แปลว่าคุณเสวยสุขมากที่สุดจากชีวิตมนุษย์

บุญเป็นที่มาของความสุข ถ้าองค์ประกอบในชีวิตใครสร้างแนวโน้มที่จะทำให้เกิดสุขทางกายทางใจมาก ก็กล่าวได้ว่าเป็นคนมีบุญมาก สำหรับคนที่มีคะแนนต่ำ ก็ใช่จะแปลว่าคุณมีบุญน้อยเสมอไป เพราะบางคนช่วงเสวยอำนาจจากบุญเก่าแล้วหลงเหลิง เผลอทำบาปได้มาก ฉะนั้นเมื่อเกิดใหม่จึงอาจมีสมบัติที่สะท้อนให้เห็นคะแนนลบมากสักหน่อย
คะแนนรวมนี้ยังสะท้อนความจริงที่สำคัญ คือถ้าคุณติดลบมากๆ ก็จำเป็นต้องทำใจนิดหนึ่ง คุณจะต้องเพียรพยายามสร้างคะแนนบวกมากกว่าคนทั่วไป ชีวิตจึงจะดีขึ้นในทางสว่าง คุณต้องข่มใจเป็นอันมากที่จะไม่คิดมีชีวิตที่ดีขึ้นบนทางมืด และหากคุณมีคะแนนติดลบอยู่แล้ว แต่ยังทอดหุ่ยไม่คิดทำชีวิตให้ดีขึ้น ไม่รู้ทางสว่าง ไม่ขวนขวายปีนป่ายขึ้นจากก้นเหว ก็แปลว่าต้องเตรียมใจตกต่ำย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมอีก
ส่วนคนที่มีคะแนนสูงๆ ก็ไม่ได้แปลว่าคุณนอนใจได้ คุณเพียงกระหยิ่มใจได้มากหน่อยว่าถ้าคิดเอาดี คิดพัฒนาตนเอง ก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย ติดขัดอุปสรรคน้อย เพราะคะแนนหนุนหลังจะช่วยส่งเสริมอย่างแข็งแรง แต่ที่สำคัญคือถ้าคุณชะล่าใจคิดว่าทำอะไรก็ได้ ความชะล่าจะลากจูงพฤติกรรมผิดๆ ตั้งแต่ผิดเล็กน้อยจนถึงผิดร้ายแรง สร้างคะแนนลบได้มากกว่าผู้มีทุนต่ำ นั่นเพราะคนเราบารมียิ่งมากยิ่งเปิดโอกาสให้ทำชั่วได้ใหญ่โตมโหฬาร เพียงวันเดียวคุณอาจทำคะแนนลบมากมายเสียจนทุนเดิมช่วยให้หลุดจากความหายนะไม่ได้เลย

บทต่อๆไปจะแสดงให้เห็นว่าทำอย่างไรจึงจะเพิ่มคะแนนบวกและลดคะแนนลบลงได้มากๆภายในชีวิตเดียว

www.dungtrin.com อนุญาตเผยแพร่สำหรับธรรมทานเท่านั้น ทีมงาน webmaster www.dungtrin.com ออกแบบเว็บไซต์ พุทธศักราช ๒๕๔๙

อุปกรณ์เล่นเกม

บทที่ ๒ - อุปกรณ์เล่นเกม

ยิ่งอุปกรณ์ซับซ้อนขึ้นเพียงใด เกมก็ยิ่งเล่นยากขึ้นเพียงนั้น
ใจ

ใจเป็นที่ตั้งของมโนกรรม มโนกรรมคือการกระทำที่เกิดขึ้นด้วยใจ ยังไม่ลงไม้ลงมือด้วยกาย
นอกจากเป็นที่ตั้งของมโนกรรมแล้ว โดยธรรมชาติของใจยังสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ เช่นภาวะของตนเอง ทราบได้ด้วยตนเองว่าใจถูกดัดแปลงให้สว่างได้ด้วยเจตนาที่เป็นกุศล หรือปรับให้มืดลงด้วยเจตนาอันเป็นอกุศลก็ได้
เมื่อตั้งเจตนาเป็นกุศล เช่นจะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความเดือดร้อน เรียกว่าทำกรรมขาว เพราะกรรมนั้นมีความสว่าง และปรุงแต่งจิตให้สว่าง สามารถรู้สึกได้ด้วยใจว่าทำกุศลกรรมแล้วเบิกบาน มีปีติโสมนัสนาน อยากยิ้มชื่นใจ หัวอกเบาโล่ง อบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยไร้กังวล ต่อให้ตกอยู่ในท่ามกลางอาวุธแวดล้อมก็ไม่นึกพรั่น เพราะใจบอกตนเองว่าถ้าต้องขาดใจตายเดี๋ยวนั้นก็มีอะไรดีๆรออยู่ มัจจุราชไม่น่ากลัวเกรงเอาเลย
แต่หากตั้งเจตนาเป็นอกุศล เช่นจะเบียดเบียนให้ผู้อื่นต้องเป็นทุกข์ ก็เรียกว่าทำกรรมดำ เพราะกรรมนั้นมีความมืด และปรุงแต่จิตให้มืด เหตุนี้จึงถือว่ากรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม สามารถรู้สึกได้ด้วยใจว่าทำอกุศลกรรมแล้วทึบแน่น แม้เกิดความอิ่มใจหรือสะใจบ้างก็หน่วงหนักอยู่ในอก และรู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางภยันตราย น่ากังวลอย่างลึกลับแม้อยู่ในรถหุ้มเกราะกันกระสุนหนากี่หุนก็ตาม เพราะใจบอกตนเองว่าถ้าตายเดี๋ยวนั้นก็ต้องไปเป็นทุกข์หนักทันที มัจจุราชจะเป็นผู้มาเยือนที่น่าขนหัวลุกที่สุดในชีวิต
กรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน แม้จะลงมือกระทำทางกายเหมือนกัน แต่ถ้ามโนกรรมแตกต่างกัน ก็ให้ผลเป็นคนละเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นหมอสองคนฉีดยาให้คนไข้เหมือนๆกัน แต่หมอคนหนึ่งเลือกยาที่รู้ว่าจะช่วยให้หายขาด ก็เรียกว่ามีมโนกรรมเป็นการช่วยเหลือ และทำหน้าที่ของหมอด้วยจิตวิญญาณของหมอ ส่วนหมออีกคนเลือกยาที่รู้ว่าจะบรรเทาอาการให้ลดลง แต่ต้องมาฉีดยาและจ่ายเงินเพิ่มอีกหลายหน ก็เรียกว่ามีมโนกรรมเป็นการขูดรีด ไม่ได้ทำหน้าที่ของหมอ จิตวิญญาณเป็นแค่พ่อค้ายาแก้ปวดผู้ไร้ความปรานีเท่านั้น
จิตใจเป็นหนึ่งในผลกรรมจากอดีตชาติ เช่นใจที่มีสำนึกแบบมนุษย์ย่อมเคยทำบุญมาจนรู้ผิดชอบชั่วดี รู้ว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล หากทำบาปไว้หนักๆ ไม่ใคร่จะได้ประกอบการบุญเอาเลย เช่นนี้กรรมจะตกแต่งให้ใจในชาติถัดมามืดมน รับรู้และแยกแยะยากว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป
และการที่จิตใจเป็นเพียง ‘ผลผลิต’ จากกรรมในอดีต ก็ย่อมหมายความว่าจิตใจโดยความเป็นคุณอย่างนี้ไม่ได้มีอยู่ก่อนโดยเดิม คุณไม่สามารถอ้างว่าจิตในชาติที่แล้วเป็นอันเดียวกับจิตในชาตินี้ เนื่องจากจิตไม่ได้สร้างจิต แต่จิตถูกสร้างขึ้นด้วยกรรม หากกรรมเก่าของพวกเราดำกว่านี้ กรรมดำจะผลิตจิตแบบสัตว์นรก หรือจิตแบบเดรัจฉาน หรือจิตแบบเปรตขึ้นมาแทนจิตแบบมนุษย์
ฉะนั้นจึงไม่ผิดเสียทีเดียว หากคุณรู้สึกว่าตัวตนแบบที่เป็นคุณอยู่เดี๋ยวนี้ มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง เหตุเพราะคุณไม่เคยมีจิตซ้ำกันสักชาติ เริ่มชาติใหม่ทุกอย่างก็เหมือนตั้งต้นใหม่หมด ทั้งร่างกายที่ได้มาใหม่ด้วยการขอแบ่งเลือดเนื้อจากพ่อแม่คู่ปัจจุบัน และทั้งจิตที่กรรมเก่าส่งให้อุบัติในจังหวะเหมาะแก่การปฏิสนธิ จะมีก็แต่การสืบของกรรม ที่ยังไหลไปอย่างสืบเนื่องเหมือนสายน้ำ
คุณสมบัติของจิตเป็นสิ่งที่ดัดแปลงได้ด้วยกรรมในปัจจุบันชาติ และง่ายกว่าการดัดแปลงกายมาก อีกทั้งยังให้ผลกระทบต่อชีวิตอย่างชัดเจน ทั้งความสุขอันเป็นของภายใน และทั้งการฉายรัศมีรุ่งเรืองเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาภายนอก
ความเจิดจรัสของจิตเกิดขึ้นจากสติเป็นหลัก และสติก็มีทั้งที่ยืนอยู่บนความเห็นชอบกับที่ยืนอยู่บนความเห็นผิด ฉะนั้นแม้เป็นอาชญากรก็อาจมีรัศมีจิตเฉิดฉายน่าเกรงขามได้ ตราบเท่าที่จิตของเขาไม่หมกมุ่นกับเรื่องต่ำๆ และมีสติอยู่กับเนื้อกับตัว หรือมีสติอยู่กับความสำเร็จที่เขารู้สึกยินดี แต่อย่างไรความเจิดจรัสที่ยืนพื้นอยู่บนกรรมดำ ก็ย่อมไม่สดใสเย็นใจได้เหมือนความเจิดจรัสที่ยืนพื้นอยู่บนกรรมขาวอย่างแน่นอน
ความเจิดจรัสอันเกิดจากการใช้สติปัญญา ใช้ความคิดอ่านที่ชาญฉลาดไปในทางช่วยเหลือผู้คน เมื่อรวมกับรัศมีสว่างสะอาดอันเกิดจากการมีขันติ งดเว้นความประพฤติอันเบียดเบียนตนเบียดเบียนท่าน จะปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกดีๆ อบอุ่นใจอยู่กับตนเอง และเหนี่ยวนำคนใกล้ชิดให้เกิดความรู้สึกแบบเดียวกันด้วย

ปาก

เป็นสถานีที่ตั้งใหญ่ของวจีกรรม วจีกรรมคือการกระทำทางวาจา วาจาคือการถ่ายทอดภาษาออกมาเป็นคำๆ เช่น พูดข้อความที่เป็นจริงหรือเท็จ พูดคำที่สุภาพรื่นหูหรือหยาบคายระคายโสต
ปากในความหมายของการเป็นที่ตั้งแห่งวจีกรรมนั้น จะหมายรวมเอาอวัยวะทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการพูด เช่นแก้วเสียง ลิ้น เพดานปาก
ปากเป็นหนึ่งในผลกรรมจากอดีตชาติ ยิ่งปากสวยเข้ารูปเท่าไร ก็ยิ่งสะท้อนถึงวจีกรรมอันเป็นไปในทางมงคล หรือในทางสุจริตมากขึ้นเท่านั้น ตรงข้าม ถ้าปากยิ่งบิดเบี้ยวหรือมีรูโหว่น่าเกลียด ก็ยิ่งสะท้อนถึงวจีกรรมอันเป็นไปในทางอัปมงคล หรือในทางทุจริตมากขึ้นเท่านั้น
หากเคยเป็นผู้ประกอบแต่วจีสุจริต เช่นพูดเข้าข้างความจริง ไม่เข้าข้างใคร พูดสุภาพด้วยเจตนาให้ผู้ฟังเย็นใจ ไม่พูดหยาบคายหรือส่อเสียดนินทาให้รกหูใคร อย่างนี้แก้วเสียงจะใสเย็นเป็นกังวานชัด ลิ้นและเพดานปากเอื้อให้พูดได้คล่องถนัดตามธรรมชาติ แต่หากเป็นตรงข้าม พูดเท็จ พูดร้อนเป็นประจำ ก็ทำให้แก้วเสียงแหบแห้ง หรือลิ้นและเพดานปากก่อให้เกิดเสียงอู้อี้ไม่น่าฟัง

มือ

เป็นที่ตั้งใหญ่ของกายกรรม กายกรรมคือการกระทำทางกาย เช่นฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ลูบคลำสิ่งต้องห้าม หรือกระดกเหล้าเข้าปาก
นอกจากกระทำกายกรรมได้แล้ว มือยังอาจเป็นอุปกรณ์ทำวจีกรรมได้ด้วย เช่นจับปากกาดินสอนเขียนหนังสือ หรืออาศัยปลายนิ้วทั้งสิบกดแป้นพิมพ์ เพื่อสื่อคำพูดในหัวออกไปให้ผู้รับได้เข้าใจเนื้อสารที่ต้องการสื่อ
มือเป็นหนึ่งในผลกรรมจากอดีตชาติ เช่นหากเป็นชายที่เคยช่วยเหลือคนมามาก จะมีขนาดมือที่ใหญ่และนิ้วมือที่ยาวแบบสมส่วนกับร่างกาย และจะเป็นอวัยวะที่ก่อให้เกิดความรู้สึกกับใจเจ้าของ กระตุ้นให้อยากทำงานใหญ่ หรืออยากช่วยเหลือผู้อื่นด้วยมือตน แต่หากมีมือที่บอบบาง แม้เป็นชายก็มีแนวโน้มจะเป็นพวกงานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ เป็นต้น

เท้า

เป็นที่ตั้งของกายกรรม แต่ก็อาจเป็นที่ตั้งของวจีกรรมได้สำหรับบางคนที่มีสภาพมือบกพร่อง คือหัดใช้เท้าแทนมือในการเขียน
เท้าเป็นอวัยวะที่ก่อให้เกิดการเดินทาง แต่ขณะเดียวกัน จากตำแหน่งที่ตั้งที่ต่ำสุดในร่างกาย ก็เหนี่ยวนำใจให้คิดไปในทางต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจะใช้อวัยวะส่วนนี้กับมนุษย์ด้วยกัน เช่นความรู้สึกเมื่อใช้มือผลักกับใช้เท้าถีบจะเป็นคนละเรื่อง พูดง่ายๆคือถ้าใช้เท้ากระทำกายกรรมกับผู้อื่น โอกาสที่จะเป็นอกุศลนั้นสูงกว่าโอกาสที่จะเป็นกุศล
เท้าเป็นหนึ่งในผลกรรมจากอดีตชาติ เช่นคนที่มีรูปเท้าไม่สมบูรณ์ เดินเหินไม่ถนัด มักเป็นพวกที่ไม่มั่นคงในกุศลธรรม ตั้งใจทำดีแล้วย่อหย่อน เนื่องจากเท้าเป็นที่ตั้ง ที่ยืน ที่ทรง หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งการทรงอยู่ หากใจอ่อนให้กับกิเลสง่ายๆ รูปเท้าจึงมักจะเป็นเครื่องฟ้องในชาติถัดมา

หัว

เป็นที่ตั้งของกายกรรม เป็นของสูง เมื่อน้อมลงแทบเท้าอันเป็นส่วนต่ำสุดของผู้ใหญ่ ผู้มีพระคุณ หรือผู้ทรงศีลที่ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง จึงหมายถึงการแสดงความเคารพขั้นสูงสุด หน้าผากที่จดลงกับพื้นคือขณะจิตที่มานะลดลงเหลือศูนย์
หัวเป็นหนึ่งในผลกรรมจากอดีตชาติ หากมีรูปมนงาม ก็สะท้อนถึงกรรมดีประเภทอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักให้ความเคารพด้วยการไหว้งามๆ ว่าง่ายอยู่ในโอวาทของผู้ทรงธรรม กับทั้งมีความประพฤติอยู่ในร่องในรอยของศีลสัตย์ไม่บกพร่องง่ายๆ

ตา

เป็นที่ตั้งของกายกรรม เพราะไม่ได้มีไว้ดูรูปอย่างเดียว แต่ยังเอาไว้ทอดมองผู้อื่นด้วยความเมตตา หรือเอาไว้จ้องหน้าให้ใครๆคร้ามกลัว นอกจากนั้นยังมีวิธีมองแบบตาไม่ตรงกับใจ ใจประสงค์ร้ายแต่เสแสร้งแกล้งมองอย่างมีไมตรี เป็นต้น ดวงตาเป็นที่แสดงออกของเมตตาจิตหรือจิตคิดแค้น ก่อให้เกิดความสบายใจหรือขุ่นใจแก่ผู้ถูกมองได้มากกว่าอวัยวะส่วนอื่นใด
นัยน์ตาเป็นหนึ่งในผลกรรมจากอดีตชาติ หากมีความงามหรือรูปลักษณะที่ดีน่าพึงใจ มักหมายถึงกรรมจากการทอดมองผู้อื่นด้วยเมตตาจิต หรือถ้านัยน์ตาเป็นประกายใสซึ้งและมีแววลึกมากๆ ก็อาจหมายถึงกรรมที่เคยมองพระพุทธรูปหรือสมณะด้วยแววเคารพเลื่อมใสเป็นล้นพ้น
นัยน์ตาคนส่วนใหญ่ไม่ถึงกับสวย และไม่ถึงกับแย่ เพราะเคยมองด้วยเมตตากับคนที่ตนรัก และมองด้วยโทสะกับคนที่ตนชัง หายากที่ระวังรักษาสายตาในการทอดมองให้เสมอกัน ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู

เครื่องเพศ

เครื่องเพศเป็นที่ตั้งของกายกรรม รวมทั้งเป็นอุปกรณ์ก่อกรรมและการรับผลกรรมอย่างใหญ่ สิ่งมีชีวิตใดแสดงเครื่องหมายทางเพศได้ ย่อมบ่งบอกว่าจิตยังผูกอยู่กับเรื่องทางเพศ ก่อกรรมและรับกรรมทางเพศแบบใดแบบหนึ่งได้เสมอ
เครื่องเพศเป็นของสงวน ดังนั้นเพียงมีใจสงวนรักษาหรือคิดหาญเปิดเผยไม่เลือก ก็ก่อให้เกิดมโนกรรมอย่างใหญ่ ที่โน้มเอียงไปในทางละอายหรือไม่ละอายต่อบาปได้แล้ว
เครื่องเพศเป็นหนึ่งในผลกรรมจากอดีตชาติ อวัยวะเพศชายสร้างความรู้สึกพื้นฐานของฝ่ายรุก ฝ่ายริเริ่ม ฝ่ายควบคุมจัดการ ดังนั้นจึงสะท้อนให้เห็นกรรมอันเป็นฝ่ายริเริ่มงานบุญ และควบคุมตนเองอยู่ในร่องรอยศีลธรรมได้ดี ส่วนอวัยวะเพศหญิงสร้างความรู้สึกพื้นฐานของฝ่ายรับ ฝ่ายติดตาม ฝ่ายรองรับการจัดการ ดังนั้นจึงสะท้อนให้เห็นกรรมอันเป็นฝ่ายสนองงานบุญที่ผู้อื่นริเริ่มไว้
อย่างไรก็ตาม เหตุให้เป็นหญิงชายนับว่าซับซ้อน ความติดใจในการเป็นหญิงก็นับว่าเพียงพอจะให้เกิดเป็นหญิงได้ ถึงแม้ว่าจะริเริ่มทำบุญและมีความหนักแน่นในศีลสัตย์ก็ตาม ความหนักแน่นในศีลสัตย์จะสะท้อนออกมาในรูปของเครื่องเพศที่น่าพิสมัยเกินธรรมดาแทนการยื่นออกมาเป็นเพศชาย
สำหรับความเป็นชาย อวัยวะเพศคือผลกรรมที่ตกแต่งให้เกิดปมเขื่องหรือปมด้อย มีผลกับความเชื่อมั่น และมีผลต่อพฤติกรรมทางเพศ ตลอดจนเป็นฐานความรู้สึกในช่วงวัยต้นๆ ว่าตัวตนที่ปรากฏในโลกยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อย
อวัยวะเพศเล็กเกินควร สะท้อนถึงการเป็นผู้เคยทำงานใหญ่หรือตั้งใจมุ่งมั่นเอาชัยสำคัญ แต่ถอดใจ ขลาดกลัว แล้วหลบลี้หนีหายไป หรือเป็นพวกชอบเอาตัวรอด ห่วงแต่ตัวเองกระทั่งกล้าทิ้งครอบครัว ทิ้งพรรคพวก หรือกระทั่งขายชาติเพื่อประโยชน์สุขของตนตามลำพัง นอกจากนี้ยังมีส่วนของการผิดศีล หรือการหากินกับผู้หญิงประกอบอยู่ด้วย
อวัยวะเพศขนาดใหญ่เกินควร ชนิดที่มโหฬารน่าเกลียดนั้น เกิดจากกรรมที่ชอบโอ่อวด ชอบให้ใครต่อใครคิดว่าตนยิ่งใหญ่เกินจริง ทำดีหวังเอาหน้าเป็นหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขนาดต้องหอบนักข่าวมาช่วยกันถ่ายทอดสดทั่วประเทศถึงจะยอมควักกระเป๋า อย่างนี้ชาติต่อมาก็ต้องเป็นเจ้าของสัดส่วนที่น่าขยาด ไม่ค่อยน่าภิรมย์นัก
และแม้อวัยวะเพศของทั้งชายหญิงจะสร้างความรู้สึกฝ่ายต่ำ นำมาใช้ด่าทอกัน ชวนให้นึกถึงกิจกรรมอันพึงละอาย แต่อย่างไรอวัยวะเพศก็เป็นต้นกำเนิดมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย จึงกล่าวได้ว่ามนุษย์และสัตว์มีกำเนิดจากความผูกพันทางเพศ และสมควรเจริญเติบโตขึ้นอยู่สูงเหนือเรื่องน่าละอายทางเพศ ไม่ใช่คิดถึงเรื่องเพศแต่ในเชิงความสนุกบันเทิงโดยไม่จำเป็นต้องไยดีเลือกหน้า

ส่วนอื่นๆของกาย

ทั้งตัวอาจใช้เป็นอุปกรณ์การมีเพศสัมพันธ์ และทั้งตัวอาจใช้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายผู้อื่น ขณะเดียวกันทั้งตัวก็อาจถูกทำร้ายโดยง่าย จึงกล่าวสรุปได้ว่าทุกชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์ล้วนเป็นอุปกรณ์ก่อกรรม เช่นสามารถเอาไหล่กระแทกทำลายประตู ขณะเดียวกันก็อาจถูกทุบไหล่ให้บาดเจ็บ เป็นต้น
อวัยวะทุกชิ้นเป็นส่วนหนึ่งของผลกรรมจากอดีตชาติ หากสมส่วนหรือดูพอดีที่ได้ตั้งอยู่ตรงจุดนั้นๆ ก็แปลว่าอวัยวะนั้นๆถูกตกแต่งด้วยบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หากมีความบกพร่อง ไม่สมส่วน หรือดูขัดกับอวัยวะโดยรอบ ก็สันนิษฐานได้ว่าอวัยวะนั้นๆถูกตกแต่งด้วยบาปอย่างใดอย่างหนึ่ง
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหมด เพราะทุกชิ้นส่วนในกายมนุษย์สะท้อนแสดงซึ่งกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ และมักเป็นกรรมที่ทำประจำ ไม่ค่อยเป็นกรรมที่ทำชั่วคราว กรรมที่ทำชั่วคราวแล้วก่อให้เกิดผลทางกายได้ มักเป็นกรรมที่ทำกับผู้ทรงคุณหรือบังเกิดผลใหญ่กับคนหมู่มาก ตัวอย่างเช่นถ้ามีโอกาสเอาศีรษะจรดลงแทบบาทพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเพียงครั้งเดียว แล้วระลึกถึงอยู่เนืองๆด้วยความอิ่มอกอิ่มใจไปจนชั่วชีวิต เกิดชาติใหม่ย่อมเป็นผู้มีรูปศีรษะมนงามน่าชมยิ่ง
กล่าวโดยสรุปคือรูปกายเป็นอย่างไรก็ได้มาจากผลกรรมเก่า แต่ด้วยความไม่รู้และความหลงลืมอดีตกรรม ก็ทำให้คนเราหลงเข้าใจว่าได้มาโดยบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องทำอะไร การเปิดใจรับรู้ความจริงเกี่ยวกับกรรมและผลที่ปรากฏออกมาทางรูปกายและลักษณะของจิตใจ จะนำไปสู่ความมีสติในอีกแบบหนึ่งในการเล่นเกมกรรมรอบนี้

ความเป็นอุปกรณ์เล่นเกมราคาแพงที่สุด

อุปกรณ์เล่นเกมกรรมของภพภูมิอื่นนั้น ไม่ค่อยได้ความนัก ขอแสดงพอสังเขปดังนี้
๑) ทุคติภูมิ กายใจของเหล่าสัตว์นรกถือกำเนิดขึ้นด้วยมหันตอกุศล เป็นไปเพื่อเสวยทุกข์เผ็ดร้อน กายใจของเหล่าสัตว์เดรัจฉานถือกำเนิดขึ้นด้วยมหาอกุศล เป็นไปเพื่อหมกจมอยู่กับสิ่งสกปรกและการตระเวนเหม่อลอย กายใจของเหล่าเปรตถือกำเนิดขึ้นด้วยอกุศล เป็นไปเพื่อความลุ่มๆดอนๆเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ รวมแล้วอุปกรณ์เล่นเกมกรรมในทุคติภูมิเป็นของชั้นเลว มีขึ้นเพื่อรับบทลงโทษเป็นหลัก
๒) สุคติภูมิ กายใจของทวยเทพยดาถือกำเนิดขึ้นด้วยมหากุศล เป็นไปเพื่อทิพยสุขและความรื่นเริงสำราญอันวิจิตร กายใจของพระพรหมถือกำเนิดขึ้นด้วยมหัคตกุศล เป็นไปเพื่อวิเวกสุขอันพ้นวิสัยกามและตั้งมั่นนาน รวมแล้วอุปกรณ์เล่นเกมกรรมในสุคติภูมิเป็นของชั้นดี มีขึ้นเพื่อรับการตกรางวัลเป็นหลัก
คราวนี้ย้อนกลับมาดูกายใจของมนุษย์เพื่อเปรียบเทียบบ้าง กายใจของมนุษย์อยู่ในขอบเขตของสุคติภูมิเช่นกัน เพราะสภาพแวดล้อมไม่เร่าร้อนเหมือนนรก ไม่สกปรกเหม็นหืนเหมือนที่อยู่เดรัจฉาน ไม่แปรปรวนเหมือนแหล่งเร่ร่อนของเปรต
กายใจมนุษย์แข็งแรงและมีความมั่นคงสม่ำเสมอ เพราะคุมรูปอยู่ด้วยปัจจัยอันคงเส้นคงวา ทั้งบุญเก่า ทั้งอาหารและอากาศใหม่ๆ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมประชุมกันด้วยสัดส่วนเหมาะสม จึงใช้งานได้นานพอควร อย่างน้อยก็ใช้พัฒนาจิตวิญญาณ สั่งสมบุญบารมี และหักเหเส้นทางกรรมได้ทัน ก่อนตัวอุปกรณ์จะถึงเวลาเสื่อมลง
เงื่อนไขการปรากฏมีปรากฏเป็นของอุปกรณ์เล่นเกมชิ้นนี้ ได้แก่
๑) ต้องบุญถึง เพราะถ้าบุญไม่ถึงวิญญาณก็มาเข้าท้องมนุษย์ไม่ได้ หรืออยู่ในท้องได้แต่ไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก หรือมีโอกาสลืมตาดูโลกแต่ก็ต้องตายเสียก่อนจะรู้ความ หรือรู้ความแล้วก็ตายเสียก่อนจะได้ทำกรรมดีแก้ตัว
๒) ต้องอาศัยท้องแม่เกิด แตกต่างจากสัตว์ในภพภูมิอื่นที่อาจฟักตัวจากไข่ หรือเกิดจากเถ้าไคลสกปรก หรืออุบัติขึ้นเต็มรูปโดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยแวดล้อมช่วย
๓) กายต้องเริ่มจากเล็กไปใหญ่ เมื่อยังเล็กจึงต้องพึ่งพาคนอื่น ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หากไม่มีใครช่วยก็ต้องตายไป
๔) ใจต้องเริ่มจากไม่รู้เป็นเรียนรู้ ทุกคนเริ่มต้นจากการไม่เข้าใจอะไรเลย พูดไม่เป็นภาษา และทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง แล้วค่อยๆถูกป้อนอาหารเป็นคำข้าว พร้อมกับถูกป้อนอาหารเป็นข้อมูลความรู้ เพื่อให้โตขึ้นเอาตัวรอดในสภาพของความเป็นมนุษย์

ด้วยเงื่อนไขต่างๆดังกล่าว มนุษย์จึงมีศักยภาพที่จะเอาชนะความไม่รู้ และถูกบีบบังคับให้ต้องเลือกตัดสินใจก่อกรรมประการต่างๆเพื่อความอยู่รอด เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่รู้จึงมีสิทธิ์ช่วยเหลือกันหรือเบียดเบียนกัน
๙ เดือนในท้องแม่เป็นช่วงเวลาของการลบความจำ การเกิดเป็นมนุษย์จึงล้างมลทินในชาติก่อนๆได้ระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ตั้งต้นชีวิตด้วยความสบายใจ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับการเคยเป็นคนชั่วช้า และไม่ต้องเสียดายอาลัยกับการเคยเสวยสุขล้นเหลือใดๆ มีแต่ต้องเดินหน้าเผชิญความจริงว่าจะเข้ามาในท่าดีท่าร้ายแบบไหน โดยมีสิทธิ์เลือกที่จะโต้ตอบอย่างไรก็ได้ เหมือนหรือต่างจากอดีตชาติแค่ไหนก็ได้
ในโลกมนุษย์เต็มไปด้วยที่ตั้งของการบำเพ็ญบุญ นับตั้งแต่ผู้มีพระคุณ บุคคลอนาถารอความช่วยเหลือ ตลอดจนผู้ทรงศีลซึ่งเป็นนาบุญอันเยี่ยม ความเกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งหมดคือโอกาสให้ตั้งจิตทำบุญ ไม่ต่างจากเกมคอมพิวเตอร์ที่มีสารพัดวัตถุให้เก็บเกี่ยวไม่เลือก สุดแท้แต่ใครจะตาดีเห็นเอา
สภาพอันหยาบและตั้งมั่นของกายมนุษย์หล่อหลอมจิตใจให้แข็งแกร่งพอประมาณ ไม่บอบบางและอ่อนไหวกับทุกข์ง่ายเหมือนจิตของเทวดา กับทั้งมีโอกาสเผชิญทั้งทุกข์ทั้งสุขสลับกัน คล้ายแบ่งเอาครึ่งหนึ่งของทุคติภูมิมาทำให้ไม่เหลิงลอย และแบ่งเอาครึ่งหนึ่งของสุคติภูมิมาทำให้ไม่ซมเศร้าเกินไป ฉะนั้นโอกาสประจักษ์สัจจะความจริงของเกมกรรมจึงสูงกว่าภูมิเทวดาด้วย ซึ่งเมื่อประจักษ์ความจริงอย่างถึงใจแล้ว จะเลือกสร้างเหตุให้เล่นเกมต่ออย่างสนุก หรือจะเลือกยุติการเล่นเกมออกไปพักเหนื่อยถาวร ก็เป็นสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ของแต่ละคน
กายใจมนุษย์จึงเป็นอุปกรณ์เล่นเกมราคาแพง และถ้าคิดในแง่ความสามารถโกยคะแนน ก็ต้องนับว่าเป็นอุปกรณ์ราคาแพงสูงสุด ใครไม่รู้ความจริงนี้เท่ากับไก่ได้พลอยหรือลิงได้แก้ว

บทต่อๆไปจะแสดงให้เห็นว่าการเล่นเกมแต่ละครั้ง จะมีผลให้ได้มาซึ่งอุปกรณ์เล่นเกมที่ดีขึ้นหรือเลวลง
www.dungtrin.com อนุญาตเผยแพร่สำหรับธรรมทานเท่านั้น ทีมงาน webmaster www.dungtrin.com ออกแบบเว็บไซต์ พุทธศักราช ๒๕๔๙

เกมกรรม

บทที่ ๑ - เกมกรรม

คุณกำลังอยู่ในเกม จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

องค์ประกอบของเกม
ถ้ามองชีวิตทั้งหมดเป็นเกม ชีวิตจะปรากฏต่อคุณแตกต่างไปจากที่เคย อย่างน้อยที่สุดคุณอาจได้ตั้งคำถามขึ้นมาบ้าง ว่ามีวัตถุใดให้เลือกเก็บเพื่อเพิ่มคะแนน หรืออาจได้ตระหนักว่าหากปล่อยเวลาให้ผ่านไป สิ่งลึกลับที่ไล่ล่าทำร้ายคุณอยู่อาจตามทัน หรือหากคุณเดินหน้าช้าเกินไป เดี๋ยวจะไปไม่ทันเป้าหมาย เป็นต้น โดยสรุปคือเมื่อมองชีวิตเป็นเกม คุณคงเริ่มกระตือรือร้นสนใจกฎกติกาที่เป็นต่างหากจากกฎหมายบ้านเมืองขึ้นมาบ้าง
เมื่อตั้งใจมองชีวิตเป็นเกม ก็ต้องมีคำถามสามัญ เช่น
๑) ใครเป็นผู้เล่น?
๒) อุปกรณ์การเล่นคืออะไร?
๓) กติกาเป็นอย่างไร?
๔) แพ้ชนะแล้วได้อะไร?
๕) ใครเป็นผู้ตัดสิน?

มาไขคำถามแรกก่อน ผู้เล่นเกมในสายตาของคุณก็คือตัวคุณเอง คุณต้องเล่น ต้องเฝ้าชม และต้องรับผิดชอบตัวเอง คุณเล่นให้ตัวเองดูตลอดเวลา แม้ปลีกเวลาไปเฝ้าดู เฝ้าเพ่งโทษคนอื่นบ้างก็ได้แค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
คำตอบสำหรับคำถามที่สอง อุปกรณ์การเล่นคือบุคคลและวัตถุทุกชิ้นที่อยู่บนโลก หมายความว่า คุณมีสิทธิ์เข้าไปเกี่ยวข้องกับใครหรืออะไรก็ได้ แม้ไม่ใช่ด้วยการสัมผัสแตะต้องทางกาย ก็โดยการสัมผัสแตะต้องทางใจ เช่นคุณนึกด่าหรือคิดชมใครที่เขาไม่รู้จักคุณ คุณก็ได้ ‘กระทำ’ อะไรบางอย่างกับเขาไว้ด้วยใจเรียบร้อยแล้ว
คำตอบสำหรับคำถามที่สาม กติกาคือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เมื่อทำดีจิตจะเป็นบุญกุศล มีผลเป็นความสุขความเจริญ ส่วนเมื่อทำชั่วจิตจะเป็นบาปอกุศล มีผลเป็นความทุกข์ความเสื่อม หากผลไม่เกิดเร็วทันตาทันใจในปัจจุบัน อย่างช้าในอนาคตใกล้หรือไกลก็ต้องออกดอกออกผลแน่นอน และจากกติกาข้อนี้ สมควรที่เกมจะได้ชื่อว่า ‘เกมกรรม’ เพราะอะไรๆต้องดูเอาจากกรรมทั้งหมด
คำตอบสำหรับคำถามที่สี่ เมื่อแพ้เกม สิ่งที่คุณจะได้รับคือบทลงโทษ ถ้าขั้นหนักสุดคือถูกพักการเล่นเกมชั่วคราว โดนคุมขังอยู่ในที่คับแคบและเร่าร้อนด้วยความทรมานราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด ส่วนถ้าชนะเกม สิ่งที่คุณจะได้รับคือการตกรางวัล ถ้าเยี่ยมสุดคือได้พักเหนื่อยชั่วคราว ไปอยู่ในที่กว้างขวางอย่างเป็นอิสระและเย็นสบาย ราวกับจงใจให้ลืมความเหนื่อยยากในการเล่นเกมเสียทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การพักชั่วคราวจะสิ้นสุดลงตามความควรแก่เหตุ คุณจะต้องกลับมาเล่นเกมใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คำตอบสำหรับคำถามสุดท้าย ธรรมชาติในตัวคุณเองเป็นผู้ตัดสิน เช่นเมื่อทำดีมากๆ ร่างกายของคุณเองจะสะท้อนความดีผ่านผิวพรรณที่งดงามผ่องใสจนใครๆอดไม่ได้ ต้องทักว่าไปทำอะไรมา เป็นต้น
ในเกมกรรมยังมีเกมย่อยอีกมากมายซ้อนๆกันอยู่ นับแต่เกมเด็กเล่น เกมกีฬา เกมคอมพิวเตอร์ เกมรัก เกมธุรกิจ เกมการเมือง เกมชีวิต ฯลฯ มนุษย์เราถูกล่อใจให้มัวแต่เล่นเกมอื่นกัน โดยไม่ตระหนักว่าทุกเกมเป็นเพียงองค์ประกอบของเกมกรรมทั้งสิ้น ขอแจกแจงเป็นตัวอย่างเช่นแม้เป็นเกมเด็กเล่น แต่ถ้าริอ่านโกงเพื่อน ก็จะเป็นความเคยนิสัยให้คิดเอาชนะด้วยกลเล่ห์เพทุบาย แต่ถ้ารู้จักเล่นเพื่อความสมานฉันท์ ก็จะเป็นความเคยนิสัยให้คิดอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยการมอบความบันเทิงเริงใจแก่กันและกัน ไม่คิดรังแก ไม่คิดกลั่นแกล้ง ไม่คิดคดโกงกัน
ในเกมกีฬา ผู้ชนะย่อมได้ชื่อว่าก่อเวร ส่วนผู้แพ้ย่อมนอนไม่หลับ (พุทธพจน์) การก่อเวรนับเป็นทางมาของการคิดสมน้ำหน้าและนึกทะนง บาปทางใจ บาปทางวาจา และบาปทางกายย่อมทยอยตามมาไม่ยาก แต่ถ้าใจผู้เล่นกีฬาไม่ผูกอยู่กับเรื่องแพ้ชนะ ก็ถือเป็นการร่วมมือกันทำบุญด้านการมีน้ำใจนักกีฬา รู้จักแพ้ด้วยความชื่นชมคู่ต่อสู้ รู้จักชนะด้วยการไม่ดูหมิ่นคู่แข่งขัน
สำหรับเกมคอมพิวเตอร์ ที่นับวันยิ่งเหมือนจริง และใส่เมล็ดพันธุ์ความโหดร้ายรุนแรงเข้าไปมากขึ้นทุกที ความสมจริงอันเลวร้ายย่อมก่อให้เกิดความคิดหฤโหดอย่างแน่วแน่และเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งถึงจุดหนึ่งเมื่อจิตถูกย้อมให้เห็นผิดเป็นชอบเต็มที่ ก็ย่อมพร้อมจะก่อบาปผ่านกายในโลกความจริงราวกับกำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์ก็ไม่ปาน แต่หากเล่นเกมสร้างสรรค์และเสริมสร้างสติให้เฉียบไวขึ้น ก็อาจนำไปสู่การเป็นผู้มีโอกาสทำบุญใหญ่อย่างชาญฉลาดหลายๆทาง
เกมรักที่ผู้ชนะเหมือนได้ทุกสิ่งในโลกไปครอง และผู้แพ้เหมือนสูญสิ้นทุกสิ่งแม้ลมหายใจเพื่อการมีชีวิตต่อ ย่อมก่อให้เกิดความผูกพันทางดีทางร้าย อาจเกื้อกูลหรืออาฆาต อาจกลับรักเป็นเกลียด อาจกลับเกลียดเป็นรัก แล้วทำบุญทำบาปร่วมกันตามวาระที่รักหรือเกลียด
ส่วนเกมธุรกิจที่ต้องห้ำหั่น แข่งขันเอาเป็นเอาตาย อาจนำไปสู่การคิดกำจัดคู่ต่อสู้ด้วยวิธีฆ่าฟันให้ตายจากโลก หรือสถานเบาคือกำจัดให้พ้นสนามแข่งเดียวกันด้วยความป่าเถื่อน แต่ก็มีบ้างที่เกมธุรกิจเปิดช่องให้มองหาลู่ทางทำประโยชน์แก่ผู้บริโภค ซึ่งก็จะจัดเป็นบุญใหญ่หากผู้บริโภคได้รับประโยชน์จริงตามความตั้งใจเริ่มแรก
ด้านเกมการเมืองอันเต็มไปด้วยผลประโยชน์ของกลุ่ม อำนาจล้นฟ้าในมือผู้นำ เงินทองกองภูเขา ตลอดจนชื่อเสียงและภาพลักษณ์น่าสนใจ จัดเป็นทางมาของบาปอกุศลนานัปการ แม้โกงกินก็อาจไม่รู้ตัวว่าโกงกิน แต่ขณะเดียวกันการเมืองการปกครอง ก็เป็นทางมาของบุญใหญ่อย่างยากจะหาเกมใดเสมอเหมือน เพราะเมื่อจิตคิดบริหารบ้านเมืองโดยมุ่งประโยชน์แก่ประชาชนในแผ่นดินอย่างแท้จริง เกมการเมืองก็ได้ชื่อว่าเป็นกำเนิดแห่งกุศลดวงใหญ่ปานพระอาทิตย์ทีเดียว
สำหรับเกมชีวิตที่ทุกคนนึกว่าเป็นเกมใหญ่สุด เพราะมองชีวิตโดยรวมว่าเป็นเกมเอาตัวรอด ก็ต้องคำนึงว่าวิธีเอาตัวรอดของแต่ละคนนั้น อาจไปเบียดเบียนใครบางคน รวมทั้งอาจต้องแกล้งลืมมโนธรรมที่ติดตัวมาแต่เกิด เพราะความอยู่รอดของตนและพวกพ้องต้องมาก่อนความถูกต้องชนิดไหนๆ ฉะนั้นเกมชีวิตที่มีแต่คำว่า ‘เอาตัวรอด’ ย่อมเป็นทางมาของบาปอกุศลเหนือเกมอื่นใด ในทางตรงข้าม หากคิดถึงความอยู่รอดของคนอื่นพอๆกันหรือมากกว่าความอยู่รอดของตัวเอง ก็ย่อมเป็นทางมาของบุญกุศลเหนือเกมอื่นใดด้วย

ความไม่รู้จักเกมกรรม

ถามว่าความผิดจากการเล่นเกมหนึ่งๆนั้นเกิดขึ้นจากอะไรได้บ้าง คำตอบหลักๆมีอยู่ ๓ ข้อคือ
๑) ตั้งใจผิดกติกา
๒) เผลอผิดกติกา
๓) ไม่รู้กฎกติกา

หากถามอีกว่าความผิดแบบใดในสามข้อข้างต้นถือว่าร้ายแรงที่สุด ประสามนุษย์ย่อมตอบว่าข้อแรกคือ ‘ตั้งใจผิดกติกา’ น่าจะเลวสุด แล้วตัดสินให้ข้อสุดท้ายคือ ‘ไม่รู้กฎกติกา’ น่าติเตียนน้อยกว่าเพื่อน แต่โดยการตัดสินของธรรมชาติแล้ว การไม่รู้กฎกติกามีความร้ายแรงที่สุด ทั้งนี้เพราะผู้ตั้งใจละเมิดกติกาอาจสำนึกผิด คิดเล่นตามกฎได้ใหม่ แต่ผู้ไม่รู้กระทั่งว่ากำลังเล่นเกมอยู่ และไม่รู้ว่ากติกาของเกมเป็นอย่างไร ย่อมไม่อาจทราบว่าควรหรือไม่ควรสำนึกผิด เมื่อรับรางวัลหรือถูกลงโทษก็งงๆว่าทำไมตนถึงต้องมีชะตากรรมที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างนั้น
เมื่อทุกคนถูกล่อใจให้เล่นเกมอื่นๆ โดยไม่ตระหนักว่ากำลังเล่นเกมกรรมอันเป็นเกมใหญ่สุด ผลคือทุกคนดีแต่กระเสือกกระสนเอาแพ้เอาชนะในเกมอื่น ทว่าสำหรับเกมกรรมกลับไม่สนใจ แม้ปีท้ายๆของชีวิตที่ใกล้หมดเวลาแข่งขัน ก็ไม่สนว่าจวนแพ้หรือจวนชนะเอาเลย

บทต่อๆไปจะแสดงข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าคุณกำลังอยู่ในเกมกรรมจริงๆ รวมทั้งแนะแนววิธีเล่นเพื่อไปสู่ความมีชีวิตที่คิดไม่ถึงด้วย
www.dungtrin.com อนุญาตเผยแพร่สำหรับธรรมทานเท่านั้น ทีมงาน webmaster www.dungtrin.com ออกแบบเว็บไซต์ พุทธศักราช ๒๕๔๙

ชาวยิว

 

 

ชาวยิว (ภาษาฮิบรู: יהודים, อังกฤษ: Jew) ชนชาติหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน อยู่ในประเทศอิสราเอล

    ตามคัมภีร์โตราห์ของศาสนายูดาย (คัมภีร์พระธรรมเดิม) ซึ่งเป็นคัมภีร์ศาสนาของชาวยิวหรือชาวฮิบรู กล่าวว่าประวัติศาสตร์ของชาวยิวและศาสนานี้เริ่มต้นที่ชายชื่อ อับราฮัม ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองคลาเดียบาบิโลน ณ ขณะนั้นเมืองสำคัญต่าง ๆ มีการนับถือรูปเคราพ และเทพเจ้าของตนเอง แต่อับราฮัมคิดว่าพระเจ้าที่แท้จริงจะมีเพียงพระองค์เดียว เขาได้พบพระเจ้า และพระองค์ทรงให้อับราฮัมและครอบครัวจึงได้ออกเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ที่พระองค์จะประทานให้เขาและเชื้อสายของเขา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อชาติอิสราเอล และ ศาสนาใหม่ที่รู้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้พระองค์เดียว

ไบเบิลและอัลกุรอานได้บอกเล่าเรื่องของ ชาวยิวหรือลูกหลานของอิสราเอล ซึ่งเป็นบุตรของยิตซ์ฮาก บุตรของอับราฮัม เริ่มจากอับราฮัมได้ลูกชายตามที่พระเจ้าทรงประทานให้ที่กำเนิดกับนางซาร่าชื่อว่าอิสอัคหรือไอเซ๊ค (Isaac) ซึ่งอิสอัคต่อมาได้มีบุตร2คนคือ เอซาว และจาขอบ (Jacob ) โดยเฉพาะจาขอบผู้น้องได้พบชายคนหนึ่งที่เปนีเอล เขามองไม่เห็นใบหน้าแต่ปล้ำสู้จนเกือบรุ่งสาง และจาขอบได้ถามชื่อบุรุษผู้นั้นไม่ตอบ แต่เขาได้บอกว่าแต่นี้ต่อไปจาขอบจะได้ชื่อใหม่ว่าอิสราเอล ซึ่งหมายถึงผู้ที่ปล้ำสู้พระเจ้า และก่อนที่จาขอบจะปล่อยชายคนนั้นไปจาขอบบอกว่า"โปรดอวยพรให้เขาก่อนแล้วจึงจะปล่อย" ซึ่งจาขอบหรือจาขอบ หรือชื่อใหม่ว่าอิสราเอล เขามั่นใจว่าเขาพบพระเจ้าจริงๆ

เชื้อสายจาขอบหรืออิสราเอลมี12คน หนึ่งในนั้นคือโยเซฟไปอยู่ที่อาณาจักรของชาวอียิปต์ แต่ต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ลูกหลานของอิสราเอลได้ถูกกดขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ถึง400 ปี ช่วงนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่าฮีบรู จนกระทั่ง โมเสส (หรือโมเชซ์) ลูกชาวฮีบรูที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยฟาโรห์จนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ปลดแอกชาวยิวในอียิปต์โดยให้พาชาวอิสราเอลหรือฮีบรู ออกเดินทางจากเมือง เพื่อกลับไปยังปาเลสไตน์แผ่นดินแห่งพันธสัญญา แม้จะถูกกองทัพแห่งอียิปต์ขัดขวาง แต่พระเจ้าได้เปิดทะเลแดงให้ชาวอิสราเอลผ่านไปได้ และกลับไหลท่วมทหารอียิปต์ที่ตามมาโจมตี จากนั้นระหว่างทางที่โมเสสพาชาวฮีบรูกลับไปยังแผ่นดินแดนของบรรพบุรุษ เขาไปพบกับพระเจ้าบนภูเขาไสไน (ซีนาย) และได้รับบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า แต่เนื่องจากชาวอิสราเอลไม่ปฏิบัติตามกฏบัญญัติของพระเจ้า จึงถูกลงโทษให้หลงทางในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปี หลังจากที่เดินทางกลับเข้าสู่คานาอันหรือดินแดนแห่งพันธสัญญาแล้ว โมเสสได้เสียชีวิตลง แต่ลูกหลานชาวฮีบรูก็ได้อาศัยอยู่ในเมืองคานาอันหรืออิสราเอลต่อมา

ชนชาติอิสราเอลได้ก่อสร้างชาติจากชนเผ่าเชื้อสายของจาขอบหรืออิสราเอลทั้ง12เผ่า ช่วงนั้นจะเรียกว่า เลวี เบนยามิน และยูดาห์ กษัตริย์เดวิดก็กำเนิดในชนเผ่านี้ ชนชาติฮิบรูในช่วงที่มีกษัตริย์ได้ตกเป็นทาสของบาบิโลน และเปอร์เซีย และหลังจากถูกจับเป็นเชลยอยู่หลายปีได้เดินทางกลับไปสร้างชาติอีกครั้ง จนมาถึงสมัยพันธสัญญาใหม่ กองทัพโรมมหาอำนาจของโลกได้เข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงสุดท้ายก่อนอิสราเอลจะสิ้นชาติ พระคริสต์ได้ทรงประสูติ และบอกว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า จนนำไปสู่การตรึงกางเขนโดยสาวกของพระเองค์ที่ชื่อยูดัส เอสคาริโอ คำว่ายิวน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่ายูดาสJudas

ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะสิ้นชาติในปีคริสต์ศักราช 70 ชาวอิราเอล หรือ ฮีบรู ที่เชื่อในพระคริสต์จะถูกแยกออกจากชาวอิสราเอลที่นับถือลัทธิยูดาย และการประกาศพระกิติคุณพระเจ้าได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเชื่อในพระองค์ ซึ่งอิสราเอลในตอนนั้นเขาเชื่อว่าเขาคือชนชาติที่พระเจ้าเลือก และ รู้จักพระเจ้า ชาวต่างชาติเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งไม่สมควรที่จะรู้จักพระเจ้าผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ คำว่ายิวจึงน่าจะเริ่มมีการถูกเรียกกันในช่วงนั้น ซึ่งหมายถึงเป็นเชิงต่อต้านพวกอิสราเอลในด้านความเชื่อ สังคม และ อะไรหลายๆอย่าง เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บันทึกหรือเขียนคำว่ายิวเลย นอกจากคำว่า พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล หรือ ชนชาติฮีบรู

หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่างๆ ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ดาบจะไล่ตามหลังพวกยิว ส่วนดินแดนคานาอันแผ่นดินน้ำผึ้งและน้ำนมบริบรูณ์นี้จะแห้งแล้ง และถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งไม่ว่า อาณาจักรโรม อาณาจักรคอนสแตนติน และกองทัพมุสลิมเข้ายึดครอง สงครามแย่งชิงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะเป็นชาวยิว เช่น สงครามครูเสด ซึ่งแต่ละครั้งทำให้ชาวยิวได้ตกไปเป็นเชลย ต้องถูกฆ่า และต้องอพยพไปอยู่ในประเทศต่างๆ หลายประเทศ ทั้งในยุโรป เอเซีย และทวีปอเมริกา แต่ชาวยิวก็ยังยึดมั่นในพันธสัญญาระหว่างพวกเขาและพระเจ้า ที่ว่า พระเจ้าจะนำพวกเขากลับไปยังดินแดนที่พระเจ้าเลือกไว้ คือ อิสราเอล

ชาวยิวในประวัติศาตร์ได้รับความทุกข์ทรมารจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ซึ่ง ยิวถูกฆ่าไปทั้งหมด ประมาณ 7 ล้านคน

ในที่สุดความพยายามของชาวยิวที่จะก่อตั้งรัฐอิสระ ก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งในตอนนั้นอังกฤษมีอิทธิพลในดินแดนปาเลส์ไตน์ อนุญาตให้ชาวยิวให้กลับเข้าไปในปาเลสไตน์อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน พวกเขาได้ใช้ข้อความในพระคัมภีร์ มาอ้างความเป็นเจ้าของซึ่งชนพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อนคือชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับในละแวกนั้นไม่เห็นด้วย จนเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบในการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งแผ่นดินแห่งนี้

ที่น่าทึงคือพวกเขาก่อร่างสร้างเมือง เปลี่ยนทะเลทรายที่แห้งแล้งให้เป็นพื้นที่การเกษตรเขียวชะอุ่มตรงตามพระคำภีร์ไบเบิ้ลที่บอกว่าพวกเขาจะกลับมารวมชาติและทำให้ดินแดนนี้มีชีวิตอีกครั้ง ทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวอิสราเอล ต่อสู้เพื่อปกป้องและขยายดินแดนไปอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียงหลายต่อหลายครั้งโดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา

แม้ในปัจจุบันก็ยังมีกรณีพิพาทในดินแดนฉนวนกาซ่าและเขตชายฝั่งตะวันตก (เวสแบงค์) ระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับ ซึ่งสหประชาชาติล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ ทุกวันนี้ก็ยังหาข้อยุติ หรือจะเห็นสันติภาพยังนับว่าห่างไกลเหลือเกิน

ภาษาของชาวยิวคือภาษาฮิบรู และยังใช้เป็นภาษาในพิธีกรรมทางศาสนาของหมู่ชาวยิวตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน

สงขลา

สงขลา


นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้
เมืองสงขลามีชื่อเดิมว่า “เมืองสทิง” ตั้งอยู่ที่อำเภอสทิงพระปัจจุบัน พ่อค้าชาวอินเดีย เปอร์เซียและอาหรับที่เดินทางเข้ามาค้าขายที่เมืองสทิงพระเรียกเมืองนี้ว่า “เมืองสิงหลา” เนื่องจากขณะแล่นเรือเข้าปากทะเลสาบสงขลานั้น มองเห็นเกาะสองเกาะคล้ายสิงห์หมอบอยู่ ๒ ตัว เกาะสองเกาะนี้คือ เกาะหนู เกาะแมว นั่นเอง
สงขลา เป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มีพื้นที่ติดต่อกับรัฐเคดาห์(ไทรบุรี)ของมาเลเซีย เป็นเมืองท่าและเมืองชายทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้มาแต่สมัยโบราณ มีโบราณสถานและโบราณวัตถุมากมาย อีกทั้งมีขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาและการละเล่นพื้นเมืองที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษตกทอดให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษามากมาย สงขลามีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งที่เป็นชายทะเล น้ำตก ทะเลสาบที่สวยงาม
อำเภอหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคม เป็นเมืองชุมทางของภาคใต้มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันอำเภอเมืองสงขลายังคงมีสภาพบ้านเมืองที่เก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ สงขลาจึงเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การท่องเที่ยวเพราะมีลักษณะที่แตกต่างกันในตัว ๒ ลักษณะคือ สภาพเก่าแก่ของบ้านเมืองสงขลาและความเจริญของเมืองหาดใหญ่ ด้วยระยะทางห่างกันประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
จังหวัดสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ ๗,๓๙๓ ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย ๑๖ อำเภอคือ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ อำเภอสิงหนคร อำเภอควนเนียง อำเภอรัตภูมิ อำเภอบางกล่ำ อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอสะเดา และอำเภอคลองหอยโข่ง
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดนครศรีธรรมราช และอ่าวไทย
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดยะลา และประเทศมาเลเซีย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย และจังหวัดปัตตานี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดพัทลุง และจังหวัดสตูล

หนังสือคู่มือการทำBlog ทำ+เล่น ให้เป็น blog

แนะนำหนังสือการทำบล็อกค่ะ ทำ+เล่น ให้เป็น Blog

เกรียงไกร วิชระอนนท์ ราคา 195 บ จำนวนหน้า240 น. ราคาสมาชิก 170 บ.

    รู้จักกับ web log หรือ blog เว็บไซต์สายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อนักท่องเว็บตัวยงโดยเฉพาะ
    ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือหน้าเก่า พอได้ลองเล่นแล้ว… เลิกไม่ได้แน่นอน!
    นอกจากนั้นยังมีเบื้องหลังการสร้าง blog ด้วยตัวคุณเอง
    เริ่มต้นอย่างง่ายๆ ขนาดเด็กที่ไหนก็ทำได้
    ไปจนถึงระดับแอดวานซ์หรูเลิศจนคนเห็นแล้วต้องอิจฉา

ภาคหนึ่ง => แนะนำก่อนทำ blog

บทที่ 1 Let's get BLOGged!

ทำความรู้จักกับ blog หรือ web log เว็บไซต์สายพันธุ์ฮิตล่าสุด มาดูกันว่าทำไมเว็บไซต์ส่วนตัวสไตล์ง่ายๆ แบบนี้ถึงมีนักท่องเว็บพากันอ่านและแห่กันทำจนนับได้เป็นแสนไซต์ทั่วโลกภายในเวลา 2-3 ปีเท่านั้น!

  • เสน่ห์ของ blog อยู่ที่บุคลิก
  • blog มาจากไหน
  • กายวิภาค blog
  • มี blog ไว้ทำไม
  • เล่น blog ควรระวัง
  • แค่เล่นเน็ตเป็นก็ทำได้
  • BLOG GUIDE

บทที่ 2 BLOG-surfing!

ลองเล่น blog กันดูว่าเว็บไซต์แบบนี้จะสนองตัณหานักท่องเว็บได้ดีแค่ไหน แล้วมาค้นหา blog ที่ถูกใจคุณจากบรรดา blog นานานับรูปแบบใน blogosphere นี้

  • blog สามแบบครึ่ง
  • ใช้ Blog ทำอะไรถึงจะโดนใจ
  • ท่องไปใน blogosphere
  • ตะแกรงกรองข้อมูลชั้นดี
  • BLOG GUIDE

บทที่ 3 ก่อร่างสร้าง blog

เริ่มรวบรวมพลังในการมี blog เป็นของตัวเองกับเขาบ้าง ค้นหาแรงบันดาลใจ ศึกษาวิธีการทำ blog เพื่อเตรียมตัวไว้ให้พร้อมก่อนที่จะสร้าง blog จริง

  • ทำ blog ไปเพื่ออะไร
  • หลากวิธีทำ blog
  • เทคนิคทำ blog ให้น่าอ่าน
  • …ค้นพบตัวตนจาก blog
  • BLOG GUIDE

ภาคสอง => สร้าง blog ด้วย blog host

บทที่ 4 พร้อมสรรพกับ blog host

รู้จักกับการทำ blog ด้วย blog host ให้ละเอียดยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่ลำดับขั้นตอนการสร้าง blog แบบนี้ แนะนำวิธีหา host ที่เหมาะกับคุณ แล้วมาดูกันว่ามีเว็บไซต์ไหนที่ให้บริการอะไรน่าสนใจบ้าง

  • ทำความรู้จัก blog host
  • แจกแจงขั้นตอนสร้าง blog ใน blog host
  • เลือกหา blog host ให้เหมาะเหม็ง
  • คู่หู Blogger.com ควบ Blog*Spot.com
  • เข้าเมืองทำ blog ที่ Blog-City
  • แต่ง blog ครบวงจรกับ UpSaid
  • blog host เต็มระบบที่ 20six
  • กว่าจะเจอที่ถูกใจ
  • BLOG GUIDE

บทที่ 5 สมัครทำ blog ฟรี ที่ Blogger.com

บริการ blog host ก็คล้ายๆ กับของฟรีอย่างอีเมลฟรีหรือโฮมเพจฟรี ที่เราต้องสมัครเป็นสมาชิกกับ blog host นั้นๆ ก่อน จึงจะเริ่มใช้งานจริงได้ และขั้นตอนการสมัครสมาชิกกับ Blogger.com ก็มีรายละเอียดที่ควรต้องอธิบายมากพอสมควรด้วย

  • ใช้ BlogSpot ดีหรือเปล่า
  • เริ่มต้นสมัครสมาชิก
  • ได้แล้ว blog แรก
  • BLOG GUIDE

บทที่ 6 ได้เวลาใช้ Blogger.com กันแล้ว

Blogger.com เป็น blog host ที่ใช้ง่าย มีความสามารถพอตัว และเป็นที่นิยมกันมาก ดังนั้น ถึงมันจะไม่ได้เลิศหรูดีที่สุดในโลก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมาก่อน การตั้งต้นเรียนรู้วิธีทำ blog กับ Blogger.com น่าจะเหมาะที่สุดแล้ว

  • รู้จักหน้าค่าตา blog ของคุณ
  • ลัดไปทำโพสต์แรกกันก่อน
  • หน้าจอทำ blog มีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง
  • วิธีเขียนโพสต์ให้ได้ดังใจ
  • เอาโพสต์ไปลงใน blog
  • ตรวจตรา-ตัดต่อโพสต์
  • ขุดคุ้ยโพสต์เก่ามาดูใหม่
  • ร่วมมือทำ blog กันเป็นทีม
  • ครบถ้วนทุกกระบวนท่า
  • BLOG GUIDE

บทที่ 7 แต่ง blog ตามใจฉัน

พอทำ blog ไปได้สักพัก อาจจะเริ่มคันไม้คันมืออยากเปลี่ยนอะไรๆ ให้ blog ให้มันดูดีขึ้น ในบทนี้เราจะว่าด้วยการปรับแต่งค่าต่างๆ เพื่อให้ blog แสดงผลได้ถูกใจคุณมากกว่าเดิม รวมทั้งไขปัญหาเรื่องทำ blog ภาษาไทยยังไงให้ Blogger.com แสดงผลได้ถูกต้องที่สุด

  • ศูนย์รวมเรื่องแต่ง blog
  • เปลี่ยนหน้ากาก blog ไม่ต้องซื้อ
  • กำหนดลิงก์ Edit-Me ที่ Main Template
  • อีกหนึ่งความสำคัญของ Republish Entire Site
  • นั่นคือทั้งหมดที่มีให้ใน Blogger.com
  • BLOG GUIDE

ภาคสาม => ทำ blog ด้วย blogware

บทที่ 8 รู้จัก blogware กันก่อน

blogware เหมาะสำหรับนักทำ blog ระดับแอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย เพราะต้องรู้จักหาที่อยู่ให้ blog, เข้าใจวิธีติดตั้ง แล้วยังต้องมานั่งเลือกว่าจะใช้ blogware โปรแกรมไหนอีกด้วย

  • ทำใจให้พร้อมเมื่อจะใช้ blogware
  • ขั้นตอนใช้ blogware ทำ blog
  • เลือกใช้ให้ถูกใจ
  • แชมเปี้ยนคือ Movable Type
  • ตระกูล b2 กับที่สุดของความง่าย
  • GreyMatter เจ้าเก่าที่ยังเก๋า
  • ยังมีอื่นๆ ที่น่าสนอีก
  • เมื่ออำนาจอยู่ในมือเรา
  • BLOG GUIDE

บทที่ 9 ติดตั้ง Movable Type

ก่อนเริ่มต้นใช้งาน Movable Type ต้องตรวจสอบให้ดีว่าเว็บเซิร์ฟเวอร์แบบไหนที่ใช้กับโปรแกรมนี้ได้ จากนั้นค่อยมาเริ่มต้นเอาโปรแกรมลงเซิร์ฟเวอร์ทีละขั้นทีละตอน

  • เตรียมให้พร้อมก่อนลงมือ
  • เริ่มกระบวนการติดตั้ง (อันยาวเหยียด)
  • เมื่อส่วนที่ยากได้ผ่านไปแล้ว
  • BLOG GUIDE

บทที่ 10 เริ่มใช้ Movable Type ทำ blog

พอผ่านด่านยากมาได้ ก็ถึงเวลามันส์กับ MT ได้แล้ว มาดูกันว่าหน้าตาของโปรแกรมนี้เป็นยังไง เราจะสร้าง blog ใหม่, เขียน-แก้ไข-ลบโพสต์ และอัปเดต blog ได้ยังไงบ้าง

  • รู้จักหน้าค่าตากันก่อน
  • ปรับสักนิดก่อนเขียน blog
  • โพสต์แรกกับ MT
  • สารพัดจัดการกับโพสต์
  • อวดโฉม blog ด้วย Rebuild
  • ใส่รูปลง blog
  • ท่อง (เว็บ) ไป ทำ (blog) ไป
  • เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้น
  • BLOG GUIDE

บทที่ 11 จัดระบบให้ blog กับโพสต์

ได้ blog มาใหม่แล้ว แต่ระบบข้างในย่อมยังไม่ลงตัวถึงจะใช้ได้ก็เถอะ ในตอนนี้ได้เวลาจัดระบบ blog ให้พร้อมสำหรับการทำโฮสต์เดียวหลาย blog รวมถึงการทำ blog เดียวหลายคน และการจัดระเบียบโพสต์เก่าที่มีอยู่แล้ว

  • แบ่งโพสต์เป็นหมวดหมู่
  • เก็บโพสต์เก่าเข้ากรุ
  • เปิดบริการแจ้งเตือนสมาชิก
  • หลาย blog ในโฮสต์เดียว
  • หาคนช่วยกันทำ blog
  • คงความเป็นระเบียบเอาไว้
  • BLOG GUIDE

บทที่ 12 แต่งหน้า blog อย่างมืออาชีพ

MT เปิดโอกาสให้เราปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของ blog ได้หลายอย่าง ส่วนหลักส่วนหนึ่งอยู่ที่การปรับแต่งค่า preferences ของ blog ซึ่งทำได้ง่ายมาก และอีกส่วนคือการแก้ไข template ซึ่งทำยากกว่าเพราะต้องอาศัยพื้นฐานความรู้เรื่องการสร้างเว็บกันหน่อย

  • เปลี่ยนหน้าจอเขียนโพสต์ซะใหม่
  • ปรับแต่ง blog ให้ถูกใจ
  • ทำ blog ภาษาไทยหน่อยดิ
  • เปิดตำราแต่งหน้า blog
  • blog โฉมใหม่ไม่อายใคร
  • BLOG GUIDE

บทที่ 13 เคล็ดวิชาสำหรับเซียน MT

สำหรับคนที่ใช้ MT มาสักพัก คงจะอยากรู้ว่า MT ยังทำอะไรมากกว่า blog พื้นๆ ได้อีกบ้าง ดังนั้นในบทนี้เราจะมาดูความสามารถต่างๆ ของ MT ในขั้นแอดวานซ์ที่เหนือกว่าการใช้งานสามัญทั่วไป

  • เชื่อม blog เข้าหากันด้วย TrackBack
  • ขยายความสามารถกับ plug-in
  • ค้นหาสิ่งที่ต้องการใน blog
  • สำเร็จหลักสูตรนักเล่น MT
  • BLOG GUIDE

ภาคสี่ => ทำ blog แหวกสไตล์

บทที่ 14 ทำ blog สไตล์ Windows ด้วยโปรแกรม Blog

สำหรับคนที่อยากทำ blog แต่โฮสต์ไม่ยอมให้ใช้ CGI script หรือ PHP อะไรทั้งนั้น ลองมาดูโปรแกรม Blog ที่สามารถทำ blog ใน Windows แถมยังใช้งานได้กับโฮสต์ธรรมดา ขอเพียงแค่อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์โดยใช้ FTP ได้เท่านั้น

  • รู้จักกับ blogware ชื่อ Blog
  • มีอะไรอยู่ตรงไหนใน Blog
  • ตั้งระบบกันก่อน
  • เขียนโพสต์กันเห็นๆ
  • ก็เป็นไอเดียแปลกที่น่าลอง
  • BLOG GUIDE

บทที่ 15 มี blog ที่ไหนก็ทำได้ด้วย desktop blogware

desktop blogware เป็นตัวเชื่อมระหว่างคุณกับ blogware ที่ทำงานในเซิร์ฟเวอร์หรือแม้แต่ blog host ก็ได้ทั้งนั้น แม้ว่าคุณไม่มีความจำเป็นต้องใช้โปรแกรมจำพวกนี้ถึงขั้นขาดไม่ได้ก็ตาม แต่มันก็ช่วยได้เยอะสำหรับคนที่เขียน blog เป็นประจำ

  • เล่นกับ w.bloggar
  • สร้าง account ใหม่กันก่อน
  • เขียนโพสต์ไปไหนก็ได้
  • ปรับแต่งอะไรๆ ในโปรแกรม
  • เครื่องมือที่ใช้แล้ว (แทบ) ขาดไม่ได้
  • BLOG GUIDE

บทที่ 16 PHP-Nuke ก็ทำ blog ได้

PHP-Nuke เป็นโปรแกรมระบบจัดการเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป หรือ Content Management System ที่ขึ้นชื่อลือชาเป็นอันดับหนี่งในวงการเว็บ ถึงแม้จะไม่ค่อยมีใครบอกว่าเอาโปรแกรมนี้มาทำ blog กัน แต่จริงๆ แล้ว PHP-Nuke มีขีดความสามารถทำได้ แถมยังไม่แพ้ blogware ชั้นนำซะด้วย!

  • แนะนำตัว PHP-Nuke
  • ติดตั้งระบบให้ครบขั้นตอน
  • สร้างสรรค์ blog สไตล์ CMS
  • ปรับแต่งให้ตรงใจ
  • จัดหมวดให้โพสต์
  • รับเรื่องจากคนอ่าน
  • นี่แค่เสี้ยวหนึ่งที่ทำได้
  • BLOG GUIDE

25 วิธีสำหรับการลดความอ้วน

ความอ้วนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสาวๆ แต่เมื่อต้องเผชิญกับมัน เราก็ต้องรีบขจัดเจ้าไขมันเหล่านี้ออกไป วันนี้เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยให้สาวๆ หนีไกลจากความอ้วนมาฝากกันค่ะ

1.การตั้งเป้าหมายสำหรับตัวคุณเองเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำ และอย่าลืมว่าการลดน้ำหนักต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าเพิ่งยอมแพ้

2.ลองสังเกตดูความแตกต่างของท่าทางการรับประทานอาหาร และระยะเวลาของคนรูปร่างดีกับคนอ้วน

3.ชั่งน้ำหนักบ่อยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีแต่จะยิ่งทำให้หมดกำลังใจ

4.ลองถ่ายรูปก่อนเริ่มลดน้ำหนักแล้วตั้งใจทำตามที่คิดไว้ เห็นผลแตกต่างที่น่าพอใจอย่างแน่นอน

5.พยายามหากิจกรรมอื่นที่คุณสนใจมาทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอาหาร ไม่เชื่อลองสังเกตดูสิค่ะว่า ถ้าเราได้ทำอะไรๆ ที่เราชอบเป็นเวลานานๆ เราลืมหิวไปเลยละ่ค่ะ

6.การรับประทานอาหารร่วมกันกับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว ควรตักอาหารไว้ในจานแต่พออิ่ม และไม่รับประทานเพิ่มอีก


7.อย่ากังวลกับเป้าหมายที่ตั้งไว้มากเกินไปจนเครียด
การลดน้ำหนักต้องใช้เวลาไม่ใช่ทำได้ภายใน 1-2 วัน ขั้นต่ำ ก็เป็นเดือน


8.การตั้งข้อห้ามไม่ให้ตัวเองรับประทานอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ซะมากมาย
ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง "ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ"


9.อย่าทำกิจกรรมอื่นร่วมกับการรับประทานอาหาร
เช่น ดูโทรทัศน์ร่วมกับการรับประทานอาหาร เพราะคุณจะรับประทานเพลินอย่างไม่รู้ตัว


10.ลองหากิจกรรมที่สามารถทำร่วมกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน
ที่น่าสนใจกว่าการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว เช่น การไปเที่ยวต่างจังหวัด ดูแลบ้าน ตกแต่งบ้าน


11.ถ้าตรงหน้าคุณไม่มีอาหารวางอยู่ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำให้คุณคิดถึงมัน
คุณจงคิดเสมอว่าเรามีอะไรอย่างอื่นต้องทำอีกมากมายมากกว่าการกิน

12.รับประทานอาหารตามมื้อ อย่ากินจุบกินจิบตามใจตัวเอง เพราะนั้นจะนำมาซึ่งความอ้วน

13.เคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียด คุณจะใส่ใจกับสิ่งที่รับประทานเข้าไปมากขึ้น

14.อย่าคิดอดอาหารมื้อใด เพราะมื้อต่อไปคุณจะรับประทานมากกว่าที่ควร (ข้อนี้สาวๆหลายคนมักเข้าใจผิดว่า การอดอาหารเเล้วจะผอม แต่หารู้ไม่ว่ามันการคิดที่ผิดอย่างมาก)

15.จำกัดสถานที่รับประทานอาหารไว้ที่โต๊ะอาหารเท่านั้น  อย่าพยามวางไว้หลายจุดเพราะคิดว่ามันจะสะดวกเวลาคุณจะรับประทาน แต่นั้นจะเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีแก่คุณเอง เนื่องจากคุณสามารถหยิบทานตรงไหนก็ได้ แทนที่จะเดินไปกินที่โต๊ะ

16.ลองนำกระจกมาตั้งไว้ตรงหน้า แล้วสังเกตดูว่า คุณกำลังแข่งรับประทานอาหารกับใครอยู่หรือเปล่า?

17.แปรงฟันทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จ เพื่อกำจัดความอยากรับประทานอาหารอีก

18.ซื้อของขวัญเป็นรางวัลในการลดน้ำหนักให้กับตัวเอง คุณจะได้รู้สึกว่าได้ให้อะไรกับตัวเองบ้าง เช่น ชุดใหม่สำหรับหุ่นที่ดูดีขึ้นกว่าเดิม

19.ถ้าต้องไปร่วมงานสังสรรค์ใดๆ ขอแนะนำให้คุณรับประทานอาหารไปก่อน และพยายามรับประทานอาหารในงานเลี้ยงให้น้อยที่สุด

20.การไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตควรเขียนรายการของที่จะซื้อไว้ก่อนและเลือกซื้อตามรายการเท่านั้น และขอย้ำว่าห้ามซื้อเกินจากรายการที่คุณจดไว้ เพราะแน่นอนว่าขอที่คุณจะเลือกเกินมานั้นแหละ คือ อาหารที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณอ้วน

21.หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่จะทำให้ต้องเจอกับอาหารมากมาย เพราะคุณจะห้ามใจไม่อยู่

22.ในแต่ละมื้อที่รับประทานคุณควรตักอาหารแต่พออิ่มเท่านั้น ถ้าคุณจะกินต่อจนแน่นเพราะ อาหารอร่อย หรือเสียดายของ ก็คงรู้ใช่ไหมค่ะถึงผลที่จะตามมา

23.อย่าได้ไปเลือกซื้ออาหารเวลาที่คุณหิว เพราะเวลาคนหิยเห็นอะไรก็อยากทานไปหมด แล้วถ้าคุณซื้อมาเยอะคุณเสียดาย คุณก็จะทานมันไปให้หมดและคุณก็จะอ้วน

24.หาเหตุผลในการลดน้ำหนักให้กับตัวเองและระลึกไว้เสมอ ขณะลดน้ำหนัก นี่เป็นวิธีการให้กำลังใจที่ดีวิธีหนึ่ง เผื่อเวลาที่คุณกำลังจะหมดความอดทนต่ออาหารตรงหน้า

25. ข้อสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และลดความอยากอาหารไปได้มากทีเดียว

อย่าลืมนะค่ะ การออกกำลังและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของเรานะค่ะ สาวๆ ห้ามละเลยเป็นอันขาด....

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง www.vcharkarn.com/vblog/56806

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูงมาฝากกัน...
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยา ศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการ ทำวิจัย "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้" ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว
คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูล อิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยง การเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุก วัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี
ขอบคุณบทความดีๆ จาก http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/10_13.html

*หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา โดยลิขสิทธิเป็นของผู้เขียน ที่ให้เกียรตินำเผยแพร่ผ่าน วิชาการ.คอม เรามีความยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น กรุณาให้เกียรติผู้เขียน โดยอ้างชื่อผู้เขียนและ วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com) ทุกครั้งที่ทำการเผยแพร่ต่อ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อในสื่อที่เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบคุณที่ร่วมกันช่วยสร้างให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา

บทความธรรมเย็นใจ

ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่ มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ

ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือ สอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด

อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน

อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน

พยายามอบรมใจตนเองว่า

ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง

ชอบจับผิดแต่คนอื่น

มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา

เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม

ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน

ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร

ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน

ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร

เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย

พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลาง ๆ

ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา

แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา

และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ

สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก

ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่

เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ ไว้

อย่าเชื่อความรู้สึก

อย่าเชื่ออารมณ์

อย่ายินดียินร้าย

ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก

วัดสุนันทวนาราม

บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัด กาญจนบุรี

จากหนังสือเหตุสมควรโกรธ....ไม่มีในโลก

ขอขอบคุณภาพจาก

http://www.maemaiplengthai.com/webboard/attachments/20081019_2d2d637c163804e907bdh3hWKpXn9Xz8.jpg

/attachments

นิทานธรรมะ

นิทานธรรมะ

หมอนวิเศษ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศจีนมีชายชาวนาคนหนึ่ง
ชื่อ "อาเฉิน" กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ได้มีพ่อค้าเร่คนหนึ่ง
เข้ามาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ทำมาหากินเป็นอย่างไรบ้าง"

"ไม่ไหวเลยครับ ชีวิตของข้าอับจนสิ้นดี" อาเฉินตอบอย่างเศร้าสร้อย
"เจ้าไม่พอใจในวิถีชีวิตของตนเองดอกหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม
"จะให้ข้าพอใจได้อย่างไรในเมื่อข้าต้องทำงานหนักทั้งวัน
ถ้าข้าได้เป็นเศรษฐี ข้าจึงจะพอใจ" อาเฉินกล่าว พ่อเฒ่านิ่งงันไม่พูดอะไร

ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้อาเฉิน และพูดขึ้นว่า
"พ่อหนุ่ม ข้าต้องเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับ
เจ้าจะเก็บรักษาหมอนใบนี้ไว้ให้ข้าได้หรือไม่? หมอนใบนี้หนุนนอนสบายดี
เจ้าจะใช้หมอนใบนี้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้"
อาเฉินรับคำจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ทั้งสองจึงแยกทางกัน

ในคืนนั้น อาเฉินใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน

เมื่ออาเฉินตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด
"รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยสมใจนึก" อาเฉินตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ
"ข้าจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ข้าจะซื้อทุกอย่างที่ข้าต้องการ"

อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็สร้างเสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา
อาเฉินเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปราถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน
ดังนั้นเขาจึงปิดคฤหาสน์อาศัยอยู่ในนั้นตามลำพัง
อยู่มาไม่นานอาเฉินก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง? อ้อรู้แล้ว
สวนของข้าว่างเปล่านั่นเอง" เขาจึงสั่งให้คนงานหาดอกไม้หลากสีสัน
งดงามที่สุดเท่าที่จะหาได้ และไม้ใหญ่มาปลูกไว้ในสวน และขุดสระเลี้ยงปลา

แต่แล้ว อาเฉินยังรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
"จะต้องขาดอะไรไปสักอย่าง อ้อรู้แล้ว บ้านหลังนี้เงียบเกินไป"
อาเฉินจึงว่าจ้างนักดนตรี นักรำมาขับกล่อมให้ความบันเทิง
แต่แล้วต่อมาไม่นาน อาเฉินก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรำ เขาจึง
ไล่นักดนตรี นักรำออกจากบ้านไป อาเฉินรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง
"อ้า...สิ่งที่ข้าต้องการคือ ภรรยาสักคน...ใช่แล้ว"

อาเฉินส่งคนรับใช้ไปป่าวประกาศกลางหมู่บ้านว่า หญิงใดที่ยังเป็นโสด
ขอให้มาชุมนุมที่หน้าคฤหาสน์ของเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เขาเลือกเป็นภรรยา
แต่ ไม่มีหญิงใดโผล่หน้ามาให้เห็นในเช้าวันถัดมา อาเฉินรู้สึกแค้นเคืองฉุนเฉียว
"เฮอะ ชาวนาโง่เง่า ข้าไม่เห็นจะต้องการเลย อยู่คนเดียวก็ได้"

อยู่มาวันหนึ่ง อาเฉินตัดสินใจลงจากเขา อาเฉินนั่งเกี้ยวงดงาม
มีคนรับใช้สี่คนหาม มาดโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก แต่อาเฉินก็ต้องประหาดใจ
เมื่อผู้คนในหมู่บ้านไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย เมื่อเขาผ่านโรงเตี๊ยมเก่า
เขาได้ยินเสียงผู้คนทักทายกัน สลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ เขามองเห็น
เพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านั้นจะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง

อาเฉินหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน
เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง
อาเฉินอยากจะกลับไปเป็นชาวนาสามัญเช่นเดิม แล้วเขาก็เผลอหลับไป

เมื่ออาเฉินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องเก่าซอมซ่อ

ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม อาเฉินเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาวิ่งออกจากกระท่อม
หัวเราะร่าด้วยความยินดี อาเฉินร้องทักทายชาวนาที่เดินผ่านบ้าน เหมือนกับ
เพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน และพอถึงตอนสายของวันชายชราเจ้าของหมอน
ก็ได้มาหาอาเฉิน "เป็นอย่างไรพ่อหนุ่ม เมื่อคืนหลับฝันดีหรือไม่"

อาเฉินวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเอาหมอนห่อผ้าให้เรียบร้อย ยื่นคืนให้เจ้าของ
"ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ที่ให้ยืมหมอนวิเศษใบนี้
ข้าเพิ่งได้บทเรียนล้ำค่าของชีวิต...ไม่มีสุขใดใหญ่หลวงเกินไปกว่า
ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่อีกแล้ว"

อาเฉินหยิบจอบขึ้นพาดบ่า เดินผิวปากออกจากบ้าน
มุ่งหน้าไปยังท้องนา พ่อเฒ่าอมยิ้ม และออกเดินทางต่อไป

ที่มา http://www.watkoh.com

นิทานธรรมะ

อีกห้านาที นิทานธรรมะ กฏแห่งกรรม


วันหนึ่ง ขณะอยู่ที่สวนสาธารณะ หญิงคนหนึ่งนั่งลงข้างชายคนหนึ่งบนม้านั่งใกล้สนามเด็กเล่น ลูกชายของฉันอยู่ที่นั่นค่ะ เธอบอกและชี้ไปที่เด็กชายเล็กๆคนหนึ่งในเสื้อกันหนาวสีขาว ที่กำลังไถลลงจากไม้ลื่น
น่ารักน่าชังจริง ๆ ครับ ชายตอบพร้อมกับชี้ไปที่ชิงช้า ลูกชายผมใส่เสื้อสีเขียวครับ แล้วเขาก็ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนที่จะตะโกนเรียกลูกชาย
“ลูกแก้วเราจะไปกันแล้ว”
แก้วอ้อนพ่อ “ แค่ห้านาทีครับพ่อ ห้านาทีเอง”
ชายคนนั้นพยักหน้าให้ลูกเล่นได้ต่อไปอย่างที่ต้องการ
ผ่านไปห้านาที พ่อยืนขึ้นและเรียกลูกชายอีกครั้ง “ได้เวลาไปรึยังลูก”
แก้วอ้อนอีกครั้ง “ห้านาทีครับ อีกห้านาที”
ชายคนเดิมยิ้มรับและพูดว่า “ตกลง”
หญิงคนนั้นพูดทันที “เหลือเชื่อจริงๆ คุณช่างเป็นพ่อที่อดทนจัง”
ชายคนนั้นพูดว่า กาย ลูกชายคนโตของผมถูกรถชนตายเมื่อปีที่แล้ว เหตุจากคนเมาแล้วขับ ผมไม่เคยใช้เวลากับกายมากนัก ตอนนี้ผมยินดีแลกกับทุกอย่างถ้าจะได้ใช้เวลาสักห้านาทีกับลูก ผมสาบานว่าผมจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก
“ลูกผมคิดว่าจะมีเวลาได้เล่นชิงช้าเพิ่มอีกห้านาที แต่ที่จริงแล้ว ผมต่างหากที่มีเวลาดูแกเล่นเพิ่มอีกห้านาที”

ที่มา : prajan.com

อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

www.dhamma5minutes.com : Webboard

POST : 81
อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

View 992
Ans 0


Member

อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

ธรรมะฝึกจิต


อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

สองสามวันที่ผ่านมา ผู้เขียนอยู่กับความหดหู่ใจด้วยเรื่องราวสำคัญสองประการ หนึ่ง คือการมรณภาพของพระครูธีรสารโสภณ หรือที่ญาติโยมและลูกศิษย์ลูกหาเรียกขานท่านว่า หลวงปู่ศักดิ์ กับคลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

คลื่นยักษ์สึนามิเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นดินไหวใต้ทะเลส่งผลไปทั่วแถบทะเลอันดามัน ลามไปถึงอินเดีย ศรีลังกา ยอดคนตายและบาดเจ็บหลายแสนคน ทรัพย์สินเสียหายแทนจะประมาณค่ามิได้

นับเป็นโศกนาฏกรรมอันใหญ่ยิ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

สำหรับการมรณภาพของหลวงปู่ศักดิ์ หรือพระครูธีรสารโสภณ ต้องถือเป็นเรื่องช็อกของผู้เขียนอย่างมาก เพราะเมื่อวันก่อนเข้าพรรษาที่ผ่านมายังเดินทางไปกราบเจดีย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่จังหวัดอุบลราชธานีด้วยกัน วันนั้นท่านยังแข็งแรงมากด้วยกำลังวังชา ไม่เห็นริ้วรอยของความเจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่น้อย

ในวันวางศิลาฤกษ์ ศาลาอุโบสถวัดป่าพอก หลวงปู่ศักดิ์ก็ยังมาร่วมพิธีด้วยรอยยิ้มแย้มแจ่มใส หากหลังจากนั้นเพียงสี่ห้าเดือนท่านจากเราไปอย่างไม่คาดฝันด้วยโรคร้ายมะเร็งในตับ

ผู้เขียนได้รู้จักและกราบท่านครั้งแรกเมื่อคราวสร้างวัดป่าชนะสงคราม ที่อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ช่วงนั้นท่านมาวิเวกที่วัดป่าบ้านเด่นดีหมี ห่างจากวัดที่ผู้เขียนกำลังสร้างประมาณสี่ห้ากิโลเมตร แรก ๆ ท่านบอกกับญาติโยมว่าจะอาศัยสถานที่ภาวนาสักระยะค่อยเดินทางต่อ...แต่ญาติโยมนิมนต์ไว้ พรรษานั้นท่านจึงอยู่โปรดญาติโยมตลอดทั้งพรรษา และหลังจากออกพรรษา หลวงปู่ศักดิ์ก็เดินธุดงค์เข้าเขตพม่าทั้ง ๆ ที่ผู้เขียนได้นิมนต์เอาไว้แต่ท่านได้ปฏิเสธด้วยความนิ่มนวล

“ขอไปก่อน...ใกล้เข้าพรรษาจะกลับมาค่อยว่ากันอีกที”

พรรษาต่อมาวัดป่าชนะสงครามเสร็จสิ้น ทางคณะศรัทธาจัดพิธีมอบถวายให้สงฆ์ ภาระการก่อสร้างของผู้เขียนจบลงทำให้โอกาสเดินทางขึ้นสุโขทัยลดน้อย พร้อม ๆ ข่าวคราวของหลวงปู่ศักดิ์เงียบหายไประยะหนึ่ง จนในเดือน พฤษภาคม ๒๕๔๖ ใกล้วันเกิดของผู้เขียน หลวงปู่ศักดิ์ได้ติดต่อผ่านทางอาจารย์ประดิษฐ์ โชติโก ให้บอกภูเตศวรว่าปีนี้ท่านจะมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่านาล้อม จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อรู้ข่าวผู้เขียนจึงเดินทางขึ้นไปกราบท่านทั้ง ๆ ที่ป่วยอยู่ วันที่ขึ้นไปตรงกับวันคล้ายวันเกิดของตัวเองจึงได้ทำบุญเลี้ยงพระไปด้วย

หลังฉันภัตตาหารเสร็จ หลวงปู่ศักดิ์ได้ปรารภว่าในวันอายุครบ ๔๕ ขึ้น ๔๖ ของแม้ว หลวงปู่ทำกลด ๔๖ อันให้ แต่ขอเอาไว้ ๑๖ อันสำหรับถวายครูบาอาจารย์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ส่วนที่เหลือ ๓๐ อันสุดแล้วแต่แม้วจะให้ใคร โดยท่านให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า

“กลดจะได้กางกั้นภัยให้แม้วไง”

กลดจำนวนสามสิบอันผู้เขียนได้จำแนกแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ลูกหาบ้าง หลายคนทำบุญมาได้เงินประมาณสามหมื่น สมทบงานบุญทอดกฐินที่วัดอมราวาส จ.สุโขทัยทั้งหมด

นั่นคือความเมตตาของหลวงปู่ศักดิ์ หรือพระครูธีรสารโสภณที่มีต่อภูเตศวร!

จากปี ๒๕๔๖ จนสิ้นพรรษา ได้พบปะท่านอีกครั้งสองครั้ง ครั้งสุดท้ายคืองานวางศิลาฤกษ์ ศาลาอุโบสถวัดป่าพอกช่วงเทศกาลสงกรานต์ และตลอดช่วงเข้าพรรษาปี ๒๕๔๗ นี้ ได้ข่าวว่าท่านหวนคืนไปจำพรรษาที่วัดป่าศรีดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น ใกล้ ๆ กับบ้านเกิดของท่าน จนล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้รับข่าวอันสุดงงงัน...ข่าวที่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง

หลวงปู่ศักดิ์หรือพระครูธีรสารโสภณ มรณภาพแล้ว!

เช้าวันที่ ๑๗ ผู้เขียนขับรถมุ่งหน้าไปกราบศพท่าน จากนั้นจึงทราบเรื่องราวความจริง...ว่าตลอดพรรษาที่ผ่านมาหลวงปู่ทนทุกข์กับโรคร้ายอย่างไร ท่านต่อสู้กับมะเร็งในตับที่เจ็บปวดอย่างสงบเงียบเยี่ยงพระป่ากรรมฐาน แม้ก่อนหน้าจะละสังขารเพียงสามสี่วัน โยมจากทางไกลโทรศัพท์มาหา ถามข่าวคราว ท่านยังตอบสั้น ๆ “ยังสบายดีอยู่”

ทั้งปวงเพราะไม่ต้องการให้ญาติโยมต้องลำบาก เพราะความป่วยไข้ เพราะการอาพาธของท่านมากกว่าประการอื่น

ก่อนวันมรณภาพ ชาวบ้านและคณะศรัทธาวัดศรีดงลานรู้ว่าหลวงปู่มีปัจจัยอยู่ทั้งหมดเพียง ๔๐ บาท ขณะที่ทุกคนรู้แน่ชัดจากแพทย์แล้วว่าอีกไม่กี่วันท่านต้องมรณภาพอย่างแน่นอน ปัญหาจึงอยู่ที่การหาปัจจัยเพื่อจัดงานศพ แต่หลวงปู่ก็ยังพูดแบบติดตลกด้วยการชี้ไปยังต้นมะพร้าวที่แคระแกร็นที่สุดในวัด

“เอาเชือกผูกคอลากไปฝังใต้ต้นมะพร้าวต้นนั้นมันจะได้งามเหมือนต้นอื่น ๆ เด้อ” แม้จะพูดยิ้มๆ แต่ท้ายสุดท่านยังแย้มให้คณะศรัทธาวัดป่าศรีดงลานเห็นภาวะจิตระดับสูงของท่านด้วยประโยคที่มั่นใจ

“อีกไม่นานด๊อก พวกเจ้าจะได้เห็นภูเตศวร เขาเป็นนักเขียนนะ เขาจะมาจัดการให้เองแหละ”

ครับ...จริงอย่างที่หลวงปู่ศักดิ์ปรารภ ภูเตศวรมีโอกาสขึ้นไปจริง ๆ ขึ้นไปเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรม และมีโอกาสซื้อเจดีย์เล็ก ๆ บรรจุอัฐิธาตุของท่านหลังการประชุมเพลิงเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้กราบไหว้ต่อไป ขึ้นไปอย่างกะทันหันแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างที่ท่านกล่าวจริง ๆ

ฉบับนี้คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสดงความเสียใจต่อญาติมิตรญาติธรรมผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ศักดิ์ที่สูญเสียสุปฏิปันโนพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สูญเสียครูบาอาจารย์ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน รวมทั้งโศกนาฏกรรมจากคลื่นยักษ์สึนามิที่ภาคใต้ด้วย

และขอให้ทุกท่านจงอยู่กับสติ...ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพราะมรณกรรม...มรณภัย สามารถบังเกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ตลอดเวลา โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

เหตุการณ์ทั้งปวงดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนคิดถึงคำกล่าวของหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ที่ท่านกล่าวถึงคุณอนุชิต ปุรสาชิต ที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดด้วยคำถามที่ว่า

“ผู้จัดการกลัวตายไหม?”

“กลัวครับ” คุณอนุชิตหรือเฮียกวงของผู้เขียนตอบตามจริง ท่านก็เลยหัวเราะ บอก...

อย่ากลัวตาย เพราะคนเราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครหลบเลี่ยงความตายได้" และทิ้งท้ายเบา ๆ เพียงแต่เราต้องเตรียมตัวที่จะตาย หาวิธีรับมือกับความตายอย่างไม่ประมาท

“เตรียมยังไงครับ?” เฮียกวงย้อนถาม ท่านเลยวิสัชชนาต่อ...

หัดให้ทาน...ฝึกภาวนาให้มาก ถ้าใครทำได้จะไม่กลัวความตาย

ประโยคสั้น ๆ ของหลวงปู่บุญจันทร์ จดจำอยู่ในใจผู้เขียนเสมอมา การรู้จักให้ทานแก่ผู้ควรให้คือการสร้างพลปัจจัยแห่งบุญเพื่อชาติภพในกาลข้างหน้า การภาวนาฝึกจิตคือการหาปัญญาสำหรับการสิ้นทุกข์ในแก่นพระนิพพาน

นั่นคือหน้าที่ของชาวพุทธที่พึงกระทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตรงกับพุทธดำรัสขององค์พระบรมศาสดาที่ชาวเรารู้กันในพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานที่ว่า...

สังขารทั้งหลายย่อมมีการเสื่อมสิ้นลงเป็นธรรมดา ฉะนั้นจงยังประโยชน์ตน...ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

ประโยชน์ตนคือการปฏิบัติธรรม การเจริญสมาธิภาวนา ประโยชน์ท่านคือการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วยการให้ทาน ด้วยความเมตตากรุณา ซึ่งตรงกับแก่นธรรมอันเป็นไตรสิกขาบทที่เราท่านมิอาจลืมเลือน คือ ศีล ทาน ภาวนา นั่นเอง

ครับ...ก็ต้องจากลากันด้วยประโยคที่ว่า... อย่ารู้แค่จดจำ แต่รู้แล้วต้องกระทำจึงจะเป็นผลสำเร็จ...จึงอยากถามว่า

...ปีใหม่นี้ท่านเริ่มต้นทำแล้วหรือยัง?”

< 03 December 2007 14:17:35 >

บ้านของคนเกิดปีต่างๆ

บ้านคนปีชวด (พ.ศ. 2527, 2515 และ 2503)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีชวด ควรมีเครื่องดนตรีอย่างน้อย 1 ชิ้น อยู่ในบ้าน เช่น ขลุ่ย เมาท์ออร์แกน เปียโน กีตาร์ ฯลฯ แม้จะเล่นไม่เป็น เพียงมีไว้ประดับบ้านก็ถือว่าถูกโฉลก นำโชคดีมาสู่ในบ้าน แต่ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่สมาชิกในบ้าสามารถเล่นได้จริงๆ หรือมีการเล่นร่วมดนตรีด้วยกันภายในครอบครัว เสียงดนตรีที่ดังขึ้นดุจดั่งเสียงสวรรค์ที่เรียกทรัพย์นับล้านเข้าสู่บ้านคนปีชวด
บ้านคนปีฉลู (พ.ศ. 2528, 2516 และ 2504)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านของคนปีฉลู ไม่ควรมีอะไรที่เป็นทรงกลม ยกเว้นโต๊ะอาหารที่เป็นโต๊ะกลมได้ นอกนั้นแล้วสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านควรเป็นเหลี่ยมเป็นมุมทั้งหมด ตัวอย่างเช่น นาฬิการทรง 8 เหลี่ยม อ่างบัวทรง 5 เหลี่ยม กระถางต้นไม้ทรง 4 เหลี่ยม รวมไปถึงลวดลายของเหล็กดัด วอลล์เปเปอร์ ก็ควรเป็นรูปทรงเหลี่ยม หลีกเลี่ยงรูปวงกลมและรูปโค้งมนต่างๆ
บ้านคนปีขาล (พ.ศ. 2529, 2517 และ 2505)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านของคนปีขาล ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง ควรมีขนาดใหญ่กว่าปกติ หน้าบ้านควรมีต้นไม้ใหญ่ หรือ สัญลักษณ์ที่ใหญ่โตโดดเด่น อาทิ มีประตูหน้าบ้านบานใหญ่ มีโอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น ในห้องรับแขกควรมีรูปภาพพระอาทิตย์ขึ้นประดับไว้ จะช่วยเพิ่มพลังอำนาจ และบารมีให้มีมากขึ้นกว่าเดิม
บ้านคนปีเถาะ (พ.ศ. 2530, 2518 และ 2506 )
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีเถาะ ควรเป็นบ้านที่มีความร่มรื่น ร่มเย็น มีสนามหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ อ่างบัว ตัวบ้านมีความโปร่งโล่งสบาย มีแสงแดดและแสงสว่างพอประมาณ ในห้องนอนหรือห้องรับแขก ควรมีตุ๊กตาเซรามิครูปกระต่าย รูปไก่ รูปไข่ รูปหมู รูปเด็กทารก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย จะช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลไปไหน ได้ปรับเงินเดือน ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้พบกับความสมหวังและสมปรารถนาทุกประการ
บ้านคนปีมะโรง (พ.ศ. 2531, 2519 และ 2507)
เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีมะโรง ควรจะมีชื่อบ้าน โดยเป็นชื่อที่เป็นมงคลและถูกต้องตามหลักทักษาของเจ้าของบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะใช้ชื่อหรือนามสกุลของเจ้าของบ้านมาเป็นชื่อบ้าน ซึ่งถ้าชื่อหรือนามสกุลถูกโฉลกอยู่แล้ว ชื่อบ้านก็ย่อมจะดีตามไปด้วย ชื่อบ้านต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะของบ้านและ ผู้อยู่อาศัย ห้ามขัดแย้ง หรือตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น บ้านทาสีฟ้าทั้งหลังแต่ตั้งชื่อบ้านว่าเรือนสีชมพู หรือ บ้านอยู่ติดภูเขา แต่ตั้งชื่อบ้านว่า บ้านริมทะเล ลักษณะอย่างนี้ถือว่าไม่เหมาะสมจะทำให้อับโชค พบเจอแต่อุปสรรคขวากหนามในการดำเนินชีวิต
บ้านของคนปีมะเส็ง (พ.ศ. 2532, 2520 และ 2508)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง บ้านของคนปีมะเส็งต้องมีแสงสว่างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ต้องให้ความรู้สึกว่าสว่างอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ควรจะมีไฟภายนอกบ้านอย่างน้อยสัก 1 ดวงที่เปิดให้ความสว่างอยู่ตลอดคืนโดยเฉพาะไฟดวงไหนหากเปิดไว้แล้วนอกจากจะให้ความสว่างแก่บ้านของเรา ยังให้ความสว่างและความปลอดภัยแก่บ้านหลังอื่นและผู้ที่เดินทางผ่านไปมา ถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง บ้านมืดๆ จะนำภัยอันตรายและโชคร้ายมาสู่คนปีมะเส็ง
บ้านคนปีมะเมีย (พ.ศ. 2533, 2521 และ 2509)
เพื่อความเจริญก้าวหน้า บ้านของคนปีมะเมีย ต้องมีความเคลื่อนไหว เช่น มีธงโบกสะบัด มีน้ำพุ มีกังหัน มีโมบาย มีสุนัขหรือแมววิ่งเล่นกัน มีต้นไม้ใหญ่ที่โอนเอนตามสายลมภายในบ้าน ก็ควรมีสัญลักษณ์ของความเคลื่อนไหวหรือความเร็ว เช่น รถยนต์โบราณ รถไฟ เรือใบ เรือสำเภา เครื่องบิน จรวด ฯลฯ เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านที่สงบ นิ่งและเงียบเกินไป จะทำให้คนปีมะเมียอึดอับและอับโชค
บ้านคนปีมะแม (พ.ศ. 2534, 2522 และ 2510)
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีมะแม ควรเป็นบ้านที่สะสมงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์ งานหล่อ งานปั้น งานแกะสลัก หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดีภาพยนตร์ ฯลฯ ล้วนถูกโฉลกและนำโชคดีมาสู่คนปีมะแม และถ้าผลงานศิลปะเหล่านั้น เป็นฝีมือของเจ้าของบ้านด้วยแล้ว จะยิ่งถูกโฉลกและโชคดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
บ้านของคนปีวอก ( พ.ศ. 2523, 2511 และ 2499)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง บ้านของคนปีวอก ควรเป็นบ้านที่มีการขยับขยาย เพิ่มเติม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาเพื่อให้สอดคล้องสมดุลกับผู้อยู่อาศัย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นบ้านที่มีการเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น มีต้นไม้ใหม่ๆ มาปลูกเพิ่มอยู่เสมอมีเฟอร์นิเจอร์ใหม่มาทดแทนของเดิมที่ชำรุดเสียหาย มีเก้าอี้ม้าหินชุดใหม่มาตั้งแต่เพิ่มในสวน มีการเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ทุกๆ 2 ปี และทาสีบ้านใหม่ทุกๆ 3 ปี
บ้านของคนปีระกา (พ.ศ. 2524, 2512 และ 2500)
เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีระกาต้องสวย สะอาด สดใส และดูใหม่อยู่เสมอ สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน ควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย รั้วบ้านและอาคารภายนอกบ้านควรทาสีใหม่ทุกๆ 3 ปี ภายในบริเวณบ้าน ห้ามมีสิ่งของแตกหัก ชำรุด เสียหาย ใบไม้แห้ง ต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาโรยรา โดยเด็ดขาด รอยร้าวบนผนัง หากพบเจอต้องรีบแก้ไขในทันที หลอดไฟ กลอน กุญแจ ประตู หน้าต่าง ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
บ้านของคนปีจอ (พ.ศ. 2525, 2513 และ 2501)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีจอ ควรจะมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงนำโชคของคนปีจอ เพราะความซื่อสัตย์และแสนรู้ของสุนัข จะช่วยให้คนปีจออารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส สมองปลอดโปร่ง ไม่เครียด ดังนั้นไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไรก็ล้วนแต่โชคดีมีความสำเร็จ สุนัขที่เลี้ยงไว้ไม่ควรเลี้ยงตัวเดียว ควรเลี้ยงตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป แต่ก็อย่าให้มากเกิน ควรให้เหมาะสมกับบริเวณบ้านและกำลังในการดูแลเอาใจใส่
บ้านของคนปีกุน (พ.ศ. 2526, 2514 และ 2502)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านของคนปีกุน ต้องมีห้องครัวที่กว้างขวาง สะอาด สะดวก สบาย มีอุปกรณ์ในการทำครัวครบครัน เพราะการเข้าครัวทำอาหารของคนปีกุน ถือเป็นเรื่องมงคลนำมาซึ่งโชคลาภ ความสำเร็จ และความร่ำรวย และถ้ามีตุ๊กตาเซรามิครูปหมูสีขาวหรือสีชมพู สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ วางไว้ในห้องรับแขกหรือห้องรับประทานอาหารด้วย จะยิ่งถูกโฉลก โชคดี เฮง เฮง เฮง เพิ่มมากขึ้น

วัดในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

 

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับวัดในอำเภอเมืองเชียงใหม่

๑. ความหมายของ "วัด"
๒. วัดที่อยู่ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่
๓. วัดที่มีหลายชื่อ
๔. สรุปวัดในอำเภอเมืองเชียงใหม่

๑. ความหมายของ "วัด"

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๖. หน้า ๑๐๕๙) ให้คำนิยามของวัดว่า วัด (น) สถานที่ทางศาสนา โดยปกติมีโบสถ์ วิหารและที่อยู่ของสงฆ์หรือนักบวช เป็นต้น

สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ เล่ม ๑๒ (๒๕๔๒. หน้า ๖๑๕๐) ให้คำนิยามของวัดว่า วัดในความหมายที่แปลว่าที่อยู่ของพระสงฆ์มาจากภาษาบาลี และสันกกฤตว่า วาสและผ่านเป็นภาษาเขมรว่า วาส แล้วอ่านตามอักษรเป็นวัด ซึ่งในการเขียนด้วยอักษรธรรมล้านนาแล้ว พบว่าเขียนเป็นวัด วัต วัฎ วัท วัส หรือ วัษ โดยให้อ่านออกเสียง “วัด” ทั้งนี้แต่เดิมเรียก “วัด” ว่า “กู่” ซึ่งต่อมาคำว่า “กู่” กลายมามีความหมายแคบลงไปโดยแปลว่า เจดีย์และสถูป

วัดเป็นสถานที่ให้คนทั้งหลายได้ประกอบกุศลกรรม มีการให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา การเทศน์ รวมทั้งงานประเภทบันเทิงต่างๆ ตามโอกาส นอกจากวัดที่ตั้งอยู่ในแหล่งที่มีประชากรหนาแน่นอย่างในเมืองแล้ว วัดมักจะตั้งอยู่ห่างจากแหล่งชุมชน เพื่อความวิเวกในการปฏิบัติสมณะธรรม แต่ก็ใกล้พอที่คนในชุมชนจะไปปฏิบัติกิจการกุศลได้โดยสะดวก

กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๒๗, หน้า ๑) ได้ให้นิยามของวัดว่า วัดคือสถานที่ทางศาสนา โดยปกติแล้วมีโบสถ์ วิหาร และที่อยู่ของสงฆ์ หรือนักบวช เป็นต้น วัดพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นสถาบันศาสนาหรือที่ตั้งแห่งสถาบันทางศาสนาของสังคม ทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอหรือจังหวัด เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือพระอารามหลวงที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง จะมีฐานะเป็นที่ตั้งของสถาบันศาสนาของสังคมไทย ทั้งประเทศตามความหมายนี้ วัด
จะเป็นคำรวมที่ใช้เรียกสถาบันทางศาสนาของสังคม ซึ่งรวมเอาศาสนวัตถุสถานและศาสนธรรมไว้ด้วยกัน

เว็บไซด์ http://www.thaiwisdom.org/p-religion.html ได้ให้คำนิยาม วัดหมายถึง สถานที่ทางศาสนาตามปกติแล้วจะมีเสนาสนะ และอาคารถาวรวัตถุต่างๆ เป็นที่พำนักอาศัย ฝึกมาปฏิบัติพระธรรมวินัย และประกอบศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ตลอดจนเป็นที่บำเพ็ญกุศลต่างๆ นอกจากนี้วัดยังเป็นศูนย์กลางบริการทางการศึกษา และสังคม รวมทั้งแหล่งส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมประเพณี วัดทั้งหลายมีฐานะทางกฎหมาย คือ เป็นนิติบุคคลเท่าเทียมกัน แต่ในทางพระวินัยมีฐานะแตกต่างกัน ดังนั้น ตามมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้จำแนกวัดออกเป็น ๒ ชนิด คือ สำนักสงฆ์ และวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา

จากคำนิยามดังกล่าวสรุปได้ว่า วัด เป็นสถานที่ทางศาสนา เป็นที่พำนักอาศัยศึกษาปฏิบัติธรรมวินัย ประกอบศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ และเป็นสถานที่ให้ประชาชนได้ประกอบกุศลกรรม ฟังเทศน์ ฟังธรรม นั่งวิปัสสนา รักษาศีล ตลอดจนเป็นศูนย์กลางบริการการศึกษา สังคม

๒. วัดที่อยู่ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่

วัดในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ มีจำแนก ๑๔ ตำบล ในแต่ละตำบลได้เรียงชื่อวัดจำนวน ๑๒๐ วัดตามพจนานุกรม ดังนี้

๑. ตำบลช้างคลาน มีทั้งหมด ๙ วัด ดังนี้

๑.๑ วัดชัยมงคล
๑.๒ วัดช่างฆ้อง
๑.๓ วัดบุบผาราม
๑.๔ วัดพันตอง
๑.๕ วัดมหาวัน
๑.๖ วัดลอยเคราะห์
๑.๗ วัดศรีดอนชัย
๑.๘ วัดหัวฝาย
๑.๙ วัดอุปคุตไทย

๒. ตำบลช้างเผือกป่าตัน มีทั้งหมด ๘ วัด ดังนี้

๒.๑ วัดข่วงสิงห์
๒.๒ วัดเจ็ดยอด
๒.๓ วัดช่างเคี่ยน
๒.๔ วัดบ้านท่อ
๒.๕ วัดป่าตัน
๒.๖ วัดเมืองลัง
๒.๗ วัดแม่หยวก
๒.๘ วัดสันติธรรม

๓. ตำบลช้างม่อย มีทั้งหมด ๗ วัด ดังนี้

๓.๑ วัดชมพู
๓.๒ วัดชัยศรีภูมิ
๓.๓ วัดเชตวัน
๓.๔ วัดป่าแพ่ง
๓.๕ วัดแสงฝาง
๓.๖ วัดหนองคำ
๓.๗ วัดอู่ทรายคำ

๔. ตำบลท่าศาลาหนองป่าครั่ง มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๔.๑ วัดดอนจั่น
๔.๒ วัดบวกครกน้อย
๔.๓ วัดบวกครกหลวง
๔.๔ วัดศรีบัวเงิน
๔.๕ วัดหนองป่าครั่ง

๕. ตำบลป่าแดด มีทั้งหมด ๖ วัด ดังนี้

๕.๑ วัดเกาะกลาง
๕.๒ วัดดอนชัย
๕.๓ วัดท่าใหม่อิ
๕.๔ วัดป่าแดด
๕.๕ วัดป่าพร้าวนอก
๕.๖ วัดสิงห์คำ

๖. ตำบลพระสิงห์ มีทั้งหมด ๑๗ วัด ดังนี้

๖.๑ วัดเจดีย์หลวง
๖.๒ วัดช่างแต้ม
๖.๓ วัดทรายมูลพม่า
๖.๔ วัดทรายมูลเมือง
๖.๕ วัดผ้าขาว
๖.๖ วัดพระสิงห์วรวิหาร
๖.๗ วัดพวกหงษ์
๖.๘ วัดพวกแต้ม
๖.๙ วัดพระเจ้าเม็งราย
๖.๑๐ วัดพันเตา
๖.๑๑ วัดพันแหวน
๖.๑๒ วัดพันอ้น
๖.๑๓ วัดฟ่อนสร้อย
๖.๑๔ วัดเมธัง
๖.๑๕ วัดศรีเกิด
๖.๑๖ วัดหมื่นเงินกอง
๖.๑๗ วัดหมื่นตูม

๗. ตำบลฟ้าฮ่าม มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๗.๑ วัดขะจาว
๗.๒ วัดท่ากระดาษ
๗.๓ วัดฟ้าฮ่าม
๗.๔ วัดลังกา
๗.๕ วัดสันทราย

๘. ตำบลแม่เหียะ มีทั้งหมด ๖ วัด ดังนี้

๘.๑ วัดต้นปิน
๘.๒ วัดตำหนัก(ศิริมังคลาจารย์)
๘.๓ วัดท่าข้าม
๘.๔ วัดป่าชี่
๘.๕ วัดพระธาตุดอยคำ
๘.๖ วัดอุโบสถ

๙. ตำบลวัดเกตุ มีทั้งหมด ๗ วัด ดังนี้

๙.๑ วัดกู่คำ
๙.๒ วัดเกตุการาม
๙.๓ วัดเชตุพน
๙.๔ วัดท่าสะต๋อย
๙.๕ วัดเมืองกาย
๙.๖ วัดศรีโขง
๙.๗ วัดสันป่าข่อย

๑๐. ตำบลศรีภูมิ มีทั้งหมด ๒๒ วัด ดังนี้

๑๐.๑ วัดกู่เต้า
๑๐.๒ วัดควรค่าม้า
๑๐.๓ วัดชัยพระเกียรติ
๑๐.๔ วัดเชียงมั่น
๑๐.๕ วัดเชียงยืน
๑๐.๖ วัดดับภัย
๑๐.๗ วัดดวงดี
๑๐.๘ วัดดอกคำ
๑๐.๙ วัดดอกเอื้อง
๑๐.๑๐ วัดทุงยู
๑๐.๑๑ วัดบ้านปิง
๑๐.๑๒ วัดปราสาท
๑๐.๑๓ วัดป่าเป้า
๑๐.๑๔ วัดป่าพร้าวใน
๑๐.๑๕ วัดผาบ่อง
๑๐.๑๖ วัดมณเทียร
๑๐.๑๗ วัดสำเภา
๑๐.๑๘ วัดล่ามช้าง
๑๐.๑๙ วัดหม้อคำตวง
๑๐.๒๐ วัดหมื่นล้าน
๑๐.๒๑ วัดหัวข่วง
๑๐.๒๒ วัดอุโมงค์

๑๑. ตำบลสันผีเสื้อ มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๑๑.๑ วัดท่าเดื่อ
๑๑.๒ วัดท่าหลุก
๑๑.๓ วัดป่าข่อยใต้
๑๑.๔ วัดป่าข่อยเหนือ
๑๑.๕ วัดร้องอ้อ

๑๒. ตำบลสุเทพ มีทั้งหมด ๙ วัด ดังนี้

๑๒.๑ วัดป่าแดง
๑๒.๒ วัดโป่งน้อย
๑๒.๓ วัดผาลาด
๑๒.๔ วัดฝายหิน
๑๒.๕ พระธาตุดอยสุเทพ
๑๒.๖ วัดร่ำเปิง
๑๒.๗ วัดศรีโสภา
๑๒.๘ วัดสวนดอก
๑๒.๙ วัดอุโมงค์

๑๓. ตำบลหนองหอย มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๑๓.๑ วัดเมืองสาตรน้อย
๑๓.๒ วัดเมืองสาตรหลวง
๑๓.๓ วัดศรีบุญเรือง
๑๓.๔ วัดสันป่าเลี่ยง
๑๓.๕ วัดเสาหิน

๑๔. ตำบลหายยา มีทั้งหมด ๙ วัด ดังนี้

๑๔.๑ วัดดาวดึงษ์
๑๔.๒ วัดธาตุคำ
๑๔.๓ วัดนันทาราม
๑๔.๔ วัดพวกเปีย
๑๔.๕ วัดพวกช้าง
๑๔.๖ วัดเมืองมาง
๑๔.๗ วัดศรีพิงค์เมือง
๑๔.๘ วัดศรีสุพรรณ
๑๔.๙ วัดหมื่นสาร

๓. วัดที่มีหลายชื่อ

๑. วัดกู่เต้า - วัดเวฬุวนารามวิหาร
๒. วัดเกตุการาม - วัดสระเกษ
๓. วัดเกาะกลาง - วัดปางสนุกนางเหลียว
๔. วัดข่วงสิงห์ - วัดข่วงสิงห์ชัยมงคล
๕. วัดเจ็ดยอด - วัดมหาโพธาราม
๖. วัดเจดีย์หลวง - วัดโชติการาม , วัดราชภูฎาคาร
๗. วัดชัยพระเกียรติ - วัดผาเกียรติ , วัดชัยผาเกียรติ
๘. วัดชัยมงคล - วัดอุปานอก , วัดอุปาเม็ง , วัดชัยมงคลริมปิง
๙. วัดชัยศรีภูมิ - วัดพันต๋าเกิ๋น
๑๐. วัดเชตวัน - วัดเหนือ
๑๑. วัดวัดมหาวัน - วัดใต้
๑๒.วัดดวงดี - วัดต้นหมากเหนือ , วัดต้นมกเหนือ , วัดพนมดี ,วัดพันธนุนมดี ,วัดอุดมดี
๑๓. วัดดอกคำ - วัดช่างต้องคำ
๑๔. วัดเชียงยืน - วัดฑีฆาชีวาราม
๑๕. วัดดอกเอื้อง - วัดนางเอื้อง , วัดน้าเอื้อง
๑๖. วัดดับภัย - วัดอภัย
๑๗. วัดดาวดึงษ์ - วัดเมืองสาบ
๑๘. วัดต้นปิน - วัดพระจันทร์
๑๙. วัดตำหนัก - วัดสวนขวัญ , วัดศิริมังคลาจารย์
๒๐. วัดท่ากระดาษ - วัดท่าพลูเหลือง
๒๑. วัดท่าสะต๋อย - วัดศรีสร้อยทรายมูล
๒๒. วัดทุงยู - วัดตุยยู , วัดทุยยู
๒๓. วัดธาตุคำ - วัดกุฎีคำ , วัดใหม่
๒๔. วัดนันทาราม - วัดนันตาราม
๒๕. วัดบวกครกน้อย - วัดหัวดง
๒๖. วัดบุพาพาราม - วัดอุปา
๒๗. วัดปราสาท - วัดผาสาท
๒๘. วัดป่าข่อยใต้ - วัดสันกำแพงงาม ,วัดป่าไผ่เคลิบ
๒๙. วัดป่าแดงมหาวิหาร - วัดป่าแดงหลวง
๓๐. วัดป่าตัน - วัดคอกควาย
๓๑. วัดป่าเข้า - วัดพระหมณ์ , วัดจองป่าเป้า
๓๒. วัดพระเจ้าเม็งราย - วัดคานคอด, วัดก๋าหละก้อด, วัดศรีสร้อยท้าแจ่ง
๓๓. วัดพระธาตุดอยคำ - วัดสุวรรณบรรพต
๓๔. วัดพระธาตุดอยสุเทพ - วัดดอยสุเทพ
๓๕. วัดพระสิงห์ - วัดลีเชียงพระ
๓๖. วัดพันตอง - วัดพระงาม , วัดพันทอง
๓๗. วัดพันอ้น - วัดเจดีย์ควันพันอ้น
๓๘. วัดเมธัง - วัดช่างลาน
๓๙. วัดเมืองมาง - วัดหมื่นเยื้อน
๔๐. วัดร่ำเปิง - วัดตะโปทาราม
๔๑. วัดลอยเคราะห์ - วัดฮ้อยข้อ
๔๒. วัดศรีเกิด - วัดพิธธาราม
๔๓. วัดศรีบุญเรือง - วัดโรงวัว
๔๔. วัดศรีบุญปิงเมือง - วัดสันป่าลาน
๔๕. วัดศรีโสดา - วัดโสดาบัน
๔๖. วัดสวนดอก - วัดบุปผารามสวนดอกไม้
๔๗. วัดสันทราย - วัดสะหรีปิงชัย , วัดสันทรายต้นกอก
๔๘. วัดสันป่าเลี่ยง - วัดสันปอเลียง
๔๙. วัดเสาหิน - วัดพันเลาเสาหิน
๕๐. วัดแสนฝาง - วัดสันขวาง
๕๑. วัดหม้อคำตวง - วัดหมื่นคำตวง
๕๒. วัดหัวฝาย - วัดศรีทรายมูล
๕๓. วัดอุโบสถ - วัดโบสถ วัดบัวสด
๕๔. วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ - วัดโพธิ์น้อย ,วัดมหาจันทร์
๕๕. วัดอุโมงค์ - วัดเวฬุกัฐฐาราม , วัดไผ่ 11 กอ
๕๖. วัดอู่ทรายคำ - วัดอุปคำ
๕๗. วัดหัวข่วง - วัดแสนเมืองมาหลวง
๕๘. วัดศรีดอนชัย - วัดป่ากล้วย
๕๙. วัดมหาวัน - วัดมหาวนาราม

๔. สรุปวัดในอำเภอเมืองเชียงใหม่

๑. ตำบลช้างคลาน
๒. ตำบลช้างเผือกป่าตัน
๓. ตำบลช้างม่อย
๔. ตำบลท่าศาลา
๕. ตำบลป่าแดด
๖. ตำบลพระสิงห์
๗. ตำบลฟ้าฮ่าม
๘. ตำบลแม่เหียะ
๙. ตำบลวัดเกตุ
๑๐. ตำบลศรีภูมิ
๑๑. ตำบลสันผีเสื้อ
๑๒. ตำบลสุเทพ
๑๓. ตำบลหนองหอย
๑๔. ตำบลหายยา

จำนวน ๙ วัด
จำนวน ๘ วัด
จำนวน ๗ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๖ วัด
จำนวน ๑๗ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๖ วัด
จำนวน ๗ วัด
จำนวน ๒๒ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๙ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๙ วัด

พิมพรรณ ปัญญามณี: เกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านป่าข่อยใต้

พิมพรรณ ปัญญามณี: เกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านป่าข่อยใต้

เกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านป่าข่อยใต้

นางจันทร์ดี ศักดิ์สอน

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

อาทิตย์, 07 กันยายน 2008

02.JPGนางจันทร์ดี ศักดิ์สอน
ที่อยู่ 48 ม.2 ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
โทรศัพท์ -
ผลิตผัก ผักบุ้ง ผักกาด พริก กะหล่ำดอก มะเขือ

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 14 มิถุนายน 2009 )

นางเอ้ย กันทะวัง

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

อาทิตย์, 07 กันยายน 2008

03.JPGนางเอ้ย กันทะวัง
ที่อยู่ 239 ม.2 ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
โทรศัพท์ -
ผลิต ผักบุ้ง ผักกาด ผักคะน้า พริก

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 14 มิถุนายน 2009 )

นายสงัด พรหมมินทร์

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

ศุกร์, 03 ตุลาคม 2008

Picture 046.jpg

ชื่อ-นามสกุล นายสงัด พรหมมินทร์

ที่อยู่   42 ต.สันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่


โทร
  053-379402

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 14 มิถุนายน 2009 )

นายละมัย พรหมมา

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

ศุกร์, 03 ตุลาคม 2008

Picture 048.jpg

ชื่อ-นามสกุล นายละมัย พรหมมา

ที่อยู่ 175  ต.สันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ โทร 084-1604617