....

กาลามสูตร ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
1 อนุสสวะ 2 ปรัมปรา 3 อิติกิรา

4 ปิฏกสัมปทาน 5 ตักกะ 6 นยะ 7 อาการปริวิตักกะ
8 ทิฏฐินิชฌานักขันติ 9 ภัพพรูปตา 10 สมโณ โน ครูติ
pimpun15@gmail.com

สงขลา

สงขลา


นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้
เมืองสงขลามีชื่อเดิมว่า “เมืองสทิง” ตั้งอยู่ที่อำเภอสทิงพระปัจจุบัน พ่อค้าชาวอินเดีย เปอร์เซียและอาหรับที่เดินทางเข้ามาค้าขายที่เมืองสทิงพระเรียกเมืองนี้ว่า “เมืองสิงหลา” เนื่องจากขณะแล่นเรือเข้าปากทะเลสาบสงขลานั้น มองเห็นเกาะสองเกาะคล้ายสิงห์หมอบอยู่ ๒ ตัว เกาะสองเกาะนี้คือ เกาะหนู เกาะแมว นั่นเอง
สงขลา เป็นจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มีพื้นที่ติดต่อกับรัฐเคดาห์(ไทรบุรี)ของมาเลเซีย เป็นเมืองท่าและเมืองชายทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้มาแต่สมัยโบราณ มีโบราณสถานและโบราณวัตถุมากมาย อีกทั้งมีขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาและการละเล่นพื้นเมืองที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพบุรุษตกทอดให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษามากมาย สงขลามีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งที่เป็นชายทะเล น้ำตก ทะเลสาบที่สวยงาม
อำเภอหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการค้า การคมนาคม เป็นเมืองชุมทางของภาคใต้มีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันอำเภอเมืองสงขลายังคงมีสภาพบ้านเมืองที่เก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์ สงขลาจึงเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การท่องเที่ยวเพราะมีลักษณะที่แตกต่างกันในตัว ๒ ลักษณะคือ สภาพเก่าแก่ของบ้านเมืองสงขลาและความเจริญของเมืองหาดใหญ่ ด้วยระยะทางห่างกันประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
จังหวัดสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ ๗,๓๙๓ ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย ๑๖ อำเภอคือ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอระโนด อำเภอกระแสสินธุ์ อำเภอสทิงพระ อำเภอสิงหนคร อำเภอควนเนียง อำเภอรัตภูมิ อำเภอบางกล่ำ อำเภอหาดใหญ่ อำเภอนาหม่อม อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอสะเดา และอำเภอคลองหอยโข่ง
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดนครศรีธรรมราช และอ่าวไทย
ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดยะลา และประเทศมาเลเซีย
ทิศตะวันออก ติดต่อกับอ่าวไทย และจังหวัดปัตตานี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดพัทลุง และจังหวัดสตูล

หนังสือคู่มือการทำBlog ทำ+เล่น ให้เป็น blog

แนะนำหนังสือการทำบล็อกค่ะ ทำ+เล่น ให้เป็น Blog

เกรียงไกร วิชระอนนท์ ราคา 195 บ จำนวนหน้า240 น. ราคาสมาชิก 170 บ.

    รู้จักกับ web log หรือ blog เว็บไซต์สายพันธุ์ใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อนักท่องเว็บตัวยงโดยเฉพาะ
    ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือหน้าเก่า พอได้ลองเล่นแล้ว… เลิกไม่ได้แน่นอน!
    นอกจากนั้นยังมีเบื้องหลังการสร้าง blog ด้วยตัวคุณเอง
    เริ่มต้นอย่างง่ายๆ ขนาดเด็กที่ไหนก็ทำได้
    ไปจนถึงระดับแอดวานซ์หรูเลิศจนคนเห็นแล้วต้องอิจฉา

ภาคหนึ่ง => แนะนำก่อนทำ blog

บทที่ 1 Let's get BLOGged!

ทำความรู้จักกับ blog หรือ web log เว็บไซต์สายพันธุ์ฮิตล่าสุด มาดูกันว่าทำไมเว็บไซต์ส่วนตัวสไตล์ง่ายๆ แบบนี้ถึงมีนักท่องเว็บพากันอ่านและแห่กันทำจนนับได้เป็นแสนไซต์ทั่วโลกภายในเวลา 2-3 ปีเท่านั้น!

  • เสน่ห์ของ blog อยู่ที่บุคลิก
  • blog มาจากไหน
  • กายวิภาค blog
  • มี blog ไว้ทำไม
  • เล่น blog ควรระวัง
  • แค่เล่นเน็ตเป็นก็ทำได้
  • BLOG GUIDE

บทที่ 2 BLOG-surfing!

ลองเล่น blog กันดูว่าเว็บไซต์แบบนี้จะสนองตัณหานักท่องเว็บได้ดีแค่ไหน แล้วมาค้นหา blog ที่ถูกใจคุณจากบรรดา blog นานานับรูปแบบใน blogosphere นี้

  • blog สามแบบครึ่ง
  • ใช้ Blog ทำอะไรถึงจะโดนใจ
  • ท่องไปใน blogosphere
  • ตะแกรงกรองข้อมูลชั้นดี
  • BLOG GUIDE

บทที่ 3 ก่อร่างสร้าง blog

เริ่มรวบรวมพลังในการมี blog เป็นของตัวเองกับเขาบ้าง ค้นหาแรงบันดาลใจ ศึกษาวิธีการทำ blog เพื่อเตรียมตัวไว้ให้พร้อมก่อนที่จะสร้าง blog จริง

  • ทำ blog ไปเพื่ออะไร
  • หลากวิธีทำ blog
  • เทคนิคทำ blog ให้น่าอ่าน
  • …ค้นพบตัวตนจาก blog
  • BLOG GUIDE

ภาคสอง => สร้าง blog ด้วย blog host

บทที่ 4 พร้อมสรรพกับ blog host

รู้จักกับการทำ blog ด้วย blog host ให้ละเอียดยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่ลำดับขั้นตอนการสร้าง blog แบบนี้ แนะนำวิธีหา host ที่เหมาะกับคุณ แล้วมาดูกันว่ามีเว็บไซต์ไหนที่ให้บริการอะไรน่าสนใจบ้าง

  • ทำความรู้จัก blog host
  • แจกแจงขั้นตอนสร้าง blog ใน blog host
  • เลือกหา blog host ให้เหมาะเหม็ง
  • คู่หู Blogger.com ควบ Blog*Spot.com
  • เข้าเมืองทำ blog ที่ Blog-City
  • แต่ง blog ครบวงจรกับ UpSaid
  • blog host เต็มระบบที่ 20six
  • กว่าจะเจอที่ถูกใจ
  • BLOG GUIDE

บทที่ 5 สมัครทำ blog ฟรี ที่ Blogger.com

บริการ blog host ก็คล้ายๆ กับของฟรีอย่างอีเมลฟรีหรือโฮมเพจฟรี ที่เราต้องสมัครเป็นสมาชิกกับ blog host นั้นๆ ก่อน จึงจะเริ่มใช้งานจริงได้ และขั้นตอนการสมัครสมาชิกกับ Blogger.com ก็มีรายละเอียดที่ควรต้องอธิบายมากพอสมควรด้วย

  • ใช้ BlogSpot ดีหรือเปล่า
  • เริ่มต้นสมัครสมาชิก
  • ได้แล้ว blog แรก
  • BLOG GUIDE

บทที่ 6 ได้เวลาใช้ Blogger.com กันแล้ว

Blogger.com เป็น blog host ที่ใช้ง่าย มีความสามารถพอตัว และเป็นที่นิยมกันมาก ดังนั้น ถึงมันจะไม่ได้เลิศหรูดีที่สุดในโลก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยมาก่อน การตั้งต้นเรียนรู้วิธีทำ blog กับ Blogger.com น่าจะเหมาะที่สุดแล้ว

  • รู้จักหน้าค่าตา blog ของคุณ
  • ลัดไปทำโพสต์แรกกันก่อน
  • หน้าจอทำ blog มีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง
  • วิธีเขียนโพสต์ให้ได้ดังใจ
  • เอาโพสต์ไปลงใน blog
  • ตรวจตรา-ตัดต่อโพสต์
  • ขุดคุ้ยโพสต์เก่ามาดูใหม่
  • ร่วมมือทำ blog กันเป็นทีม
  • ครบถ้วนทุกกระบวนท่า
  • BLOG GUIDE

บทที่ 7 แต่ง blog ตามใจฉัน

พอทำ blog ไปได้สักพัก อาจจะเริ่มคันไม้คันมืออยากเปลี่ยนอะไรๆ ให้ blog ให้มันดูดีขึ้น ในบทนี้เราจะว่าด้วยการปรับแต่งค่าต่างๆ เพื่อให้ blog แสดงผลได้ถูกใจคุณมากกว่าเดิม รวมทั้งไขปัญหาเรื่องทำ blog ภาษาไทยยังไงให้ Blogger.com แสดงผลได้ถูกต้องที่สุด

  • ศูนย์รวมเรื่องแต่ง blog
  • เปลี่ยนหน้ากาก blog ไม่ต้องซื้อ
  • กำหนดลิงก์ Edit-Me ที่ Main Template
  • อีกหนึ่งความสำคัญของ Republish Entire Site
  • นั่นคือทั้งหมดที่มีให้ใน Blogger.com
  • BLOG GUIDE

ภาคสาม => ทำ blog ด้วย blogware

บทที่ 8 รู้จัก blogware กันก่อน

blogware เหมาะสำหรับนักทำ blog ระดับแอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย เพราะต้องรู้จักหาที่อยู่ให้ blog, เข้าใจวิธีติดตั้ง แล้วยังต้องมานั่งเลือกว่าจะใช้ blogware โปรแกรมไหนอีกด้วย

  • ทำใจให้พร้อมเมื่อจะใช้ blogware
  • ขั้นตอนใช้ blogware ทำ blog
  • เลือกใช้ให้ถูกใจ
  • แชมเปี้ยนคือ Movable Type
  • ตระกูล b2 กับที่สุดของความง่าย
  • GreyMatter เจ้าเก่าที่ยังเก๋า
  • ยังมีอื่นๆ ที่น่าสนอีก
  • เมื่ออำนาจอยู่ในมือเรา
  • BLOG GUIDE

บทที่ 9 ติดตั้ง Movable Type

ก่อนเริ่มต้นใช้งาน Movable Type ต้องตรวจสอบให้ดีว่าเว็บเซิร์ฟเวอร์แบบไหนที่ใช้กับโปรแกรมนี้ได้ จากนั้นค่อยมาเริ่มต้นเอาโปรแกรมลงเซิร์ฟเวอร์ทีละขั้นทีละตอน

  • เตรียมให้พร้อมก่อนลงมือ
  • เริ่มกระบวนการติดตั้ง (อันยาวเหยียด)
  • เมื่อส่วนที่ยากได้ผ่านไปแล้ว
  • BLOG GUIDE

บทที่ 10 เริ่มใช้ Movable Type ทำ blog

พอผ่านด่านยากมาได้ ก็ถึงเวลามันส์กับ MT ได้แล้ว มาดูกันว่าหน้าตาของโปรแกรมนี้เป็นยังไง เราจะสร้าง blog ใหม่, เขียน-แก้ไข-ลบโพสต์ และอัปเดต blog ได้ยังไงบ้าง

  • รู้จักหน้าค่าตากันก่อน
  • ปรับสักนิดก่อนเขียน blog
  • โพสต์แรกกับ MT
  • สารพัดจัดการกับโพสต์
  • อวดโฉม blog ด้วย Rebuild
  • ใส่รูปลง blog
  • ท่อง (เว็บ) ไป ทำ (blog) ไป
  • เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้น
  • BLOG GUIDE

บทที่ 11 จัดระบบให้ blog กับโพสต์

ได้ blog มาใหม่แล้ว แต่ระบบข้างในย่อมยังไม่ลงตัวถึงจะใช้ได้ก็เถอะ ในตอนนี้ได้เวลาจัดระบบ blog ให้พร้อมสำหรับการทำโฮสต์เดียวหลาย blog รวมถึงการทำ blog เดียวหลายคน และการจัดระเบียบโพสต์เก่าที่มีอยู่แล้ว

  • แบ่งโพสต์เป็นหมวดหมู่
  • เก็บโพสต์เก่าเข้ากรุ
  • เปิดบริการแจ้งเตือนสมาชิก
  • หลาย blog ในโฮสต์เดียว
  • หาคนช่วยกันทำ blog
  • คงความเป็นระเบียบเอาไว้
  • BLOG GUIDE

บทที่ 12 แต่งหน้า blog อย่างมืออาชีพ

MT เปิดโอกาสให้เราปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของ blog ได้หลายอย่าง ส่วนหลักส่วนหนึ่งอยู่ที่การปรับแต่งค่า preferences ของ blog ซึ่งทำได้ง่ายมาก และอีกส่วนคือการแก้ไข template ซึ่งทำยากกว่าเพราะต้องอาศัยพื้นฐานความรู้เรื่องการสร้างเว็บกันหน่อย

  • เปลี่ยนหน้าจอเขียนโพสต์ซะใหม่
  • ปรับแต่ง blog ให้ถูกใจ
  • ทำ blog ภาษาไทยหน่อยดิ
  • เปิดตำราแต่งหน้า blog
  • blog โฉมใหม่ไม่อายใคร
  • BLOG GUIDE

บทที่ 13 เคล็ดวิชาสำหรับเซียน MT

สำหรับคนที่ใช้ MT มาสักพัก คงจะอยากรู้ว่า MT ยังทำอะไรมากกว่า blog พื้นๆ ได้อีกบ้าง ดังนั้นในบทนี้เราจะมาดูความสามารถต่างๆ ของ MT ในขั้นแอดวานซ์ที่เหนือกว่าการใช้งานสามัญทั่วไป

  • เชื่อม blog เข้าหากันด้วย TrackBack
  • ขยายความสามารถกับ plug-in
  • ค้นหาสิ่งที่ต้องการใน blog
  • สำเร็จหลักสูตรนักเล่น MT
  • BLOG GUIDE

ภาคสี่ => ทำ blog แหวกสไตล์

บทที่ 14 ทำ blog สไตล์ Windows ด้วยโปรแกรม Blog

สำหรับคนที่อยากทำ blog แต่โฮสต์ไม่ยอมให้ใช้ CGI script หรือ PHP อะไรทั้งนั้น ลองมาดูโปรแกรม Blog ที่สามารถทำ blog ใน Windows แถมยังใช้งานได้กับโฮสต์ธรรมดา ขอเพียงแค่อัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์โดยใช้ FTP ได้เท่านั้น

  • รู้จักกับ blogware ชื่อ Blog
  • มีอะไรอยู่ตรงไหนใน Blog
  • ตั้งระบบกันก่อน
  • เขียนโพสต์กันเห็นๆ
  • ก็เป็นไอเดียแปลกที่น่าลอง
  • BLOG GUIDE

บทที่ 15 มี blog ที่ไหนก็ทำได้ด้วย desktop blogware

desktop blogware เป็นตัวเชื่อมระหว่างคุณกับ blogware ที่ทำงานในเซิร์ฟเวอร์หรือแม้แต่ blog host ก็ได้ทั้งนั้น แม้ว่าคุณไม่มีความจำเป็นต้องใช้โปรแกรมจำพวกนี้ถึงขั้นขาดไม่ได้ก็ตาม แต่มันก็ช่วยได้เยอะสำหรับคนที่เขียน blog เป็นประจำ

  • เล่นกับ w.bloggar
  • สร้าง account ใหม่กันก่อน
  • เขียนโพสต์ไปไหนก็ได้
  • ปรับแต่งอะไรๆ ในโปรแกรม
  • เครื่องมือที่ใช้แล้ว (แทบ) ขาดไม่ได้
  • BLOG GUIDE

บทที่ 16 PHP-Nuke ก็ทำ blog ได้

PHP-Nuke เป็นโปรแกรมระบบจัดการเว็บไซต์แบบสำเร็จรูป หรือ Content Management System ที่ขึ้นชื่อลือชาเป็นอันดับหนี่งในวงการเว็บ ถึงแม้จะไม่ค่อยมีใครบอกว่าเอาโปรแกรมนี้มาทำ blog กัน แต่จริงๆ แล้ว PHP-Nuke มีขีดความสามารถทำได้ แถมยังไม่แพ้ blogware ชั้นนำซะด้วย!

  • แนะนำตัว PHP-Nuke
  • ติดตั้งระบบให้ครบขั้นตอน
  • สร้างสรรค์ blog สไตล์ CMS
  • ปรับแต่งให้ตรงใจ
  • จัดหมวดให้โพสต์
  • รับเรื่องจากคนอ่าน
  • นี่แค่เสี้ยวหนึ่งที่ทำได้
  • BLOG GUIDE

25 วิธีสำหรับการลดความอ้วน

ความอ้วนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสาวๆ แต่เมื่อต้องเผชิญกับมัน เราก็ต้องรีบขจัดเจ้าไขมันเหล่านี้ออกไป วันนี้เรามีเคล็ดลับง่ายๆ ที่ช่วยให้สาวๆ หนีไกลจากความอ้วนมาฝากกันค่ะ

1.การตั้งเป้าหมายสำหรับตัวคุณเองเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำ และอย่าลืมว่าการลดน้ำหนักต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าเพิ่งยอมแพ้

2.ลองสังเกตดูความแตกต่างของท่าทางการรับประทานอาหาร และระยะเวลาของคนรูปร่างดีกับคนอ้วน

3.ชั่งน้ำหนักบ่อยๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย มีแต่จะยิ่งทำให้หมดกำลังใจ

4.ลองถ่ายรูปก่อนเริ่มลดน้ำหนักแล้วตั้งใจทำตามที่คิดไว้ เห็นผลแตกต่างที่น่าพอใจอย่างแน่นอน

5.พยายามหากิจกรรมอื่นที่คุณสนใจมาทำ เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอาหาร ไม่เชื่อลองสังเกตดูสิค่ะว่า ถ้าเราได้ทำอะไรๆ ที่เราชอบเป็นเวลานานๆ เราลืมหิวไปเลยละ่ค่ะ

6.การรับประทานอาหารร่วมกันกับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัว ควรตักอาหารไว้ในจานแต่พออิ่ม และไม่รับประทานเพิ่มอีก


7.อย่ากังวลกับเป้าหมายที่ตั้งไว้มากเกินไปจนเครียด
การลดน้ำหนักต้องใช้เวลาไม่ใช่ทำได้ภายใน 1-2 วัน ขั้นต่ำ ก็เป็นเดือน


8.การตั้งข้อห้ามไม่ให้ตัวเองรับประทานอาหารอย่างนั้นอย่างนี้ซะมากมาย
ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง "ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ"


9.อย่าทำกิจกรรมอื่นร่วมกับการรับประทานอาหาร
เช่น ดูโทรทัศน์ร่วมกับการรับประทานอาหาร เพราะคุณจะรับประทานเพลินอย่างไม่รู้ตัว


10.ลองหากิจกรรมที่สามารถทำร่วมกับครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน
ที่น่าสนใจกว่าการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว เช่น การไปเที่ยวต่างจังหวัด ดูแลบ้าน ตกแต่งบ้าน


11.ถ้าตรงหน้าคุณไม่มีอาหารวางอยู่ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำให้คุณคิดถึงมัน
คุณจงคิดเสมอว่าเรามีอะไรอย่างอื่นต้องทำอีกมากมายมากกว่าการกิน

12.รับประทานอาหารตามมื้อ อย่ากินจุบกินจิบตามใจตัวเอง เพราะนั้นจะนำมาซึ่งความอ้วน

13.เคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียด คุณจะใส่ใจกับสิ่งที่รับประทานเข้าไปมากขึ้น

14.อย่าคิดอดอาหารมื้อใด เพราะมื้อต่อไปคุณจะรับประทานมากกว่าที่ควร (ข้อนี้สาวๆหลายคนมักเข้าใจผิดว่า การอดอาหารเเล้วจะผอม แต่หารู้ไม่ว่ามันการคิดที่ผิดอย่างมาก)

15.จำกัดสถานที่รับประทานอาหารไว้ที่โต๊ะอาหารเท่านั้น  อย่าพยามวางไว้หลายจุดเพราะคิดว่ามันจะสะดวกเวลาคุณจะรับประทาน แต่นั้นจะเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดีแก่คุณเอง เนื่องจากคุณสามารถหยิบทานตรงไหนก็ได้ แทนที่จะเดินไปกินที่โต๊ะ

16.ลองนำกระจกมาตั้งไว้ตรงหน้า แล้วสังเกตดูว่า คุณกำลังแข่งรับประทานอาหารกับใครอยู่หรือเปล่า?

17.แปรงฟันทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จ เพื่อกำจัดความอยากรับประทานอาหารอีก

18.ซื้อของขวัญเป็นรางวัลในการลดน้ำหนักให้กับตัวเอง คุณจะได้รู้สึกว่าได้ให้อะไรกับตัวเองบ้าง เช่น ชุดใหม่สำหรับหุ่นที่ดูดีขึ้นกว่าเดิม

19.ถ้าต้องไปร่วมงานสังสรรค์ใดๆ ขอแนะนำให้คุณรับประทานอาหารไปก่อน และพยายามรับประทานอาหารในงานเลี้ยงให้น้อยที่สุด

20.การไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตควรเขียนรายการของที่จะซื้อไว้ก่อนและเลือกซื้อตามรายการเท่านั้น และขอย้ำว่าห้ามซื้อเกินจากรายการที่คุณจดไว้ เพราะแน่นอนว่าขอที่คุณจะเลือกเกินมานั้นแหละ คือ อาหารที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณอ้วน

21.หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่จะทำให้ต้องเจอกับอาหารมากมาย เพราะคุณจะห้ามใจไม่อยู่

22.ในแต่ละมื้อที่รับประทานคุณควรตักอาหารแต่พออิ่มเท่านั้น ถ้าคุณจะกินต่อจนแน่นเพราะ อาหารอร่อย หรือเสียดายของ ก็คงรู้ใช่ไหมค่ะถึงผลที่จะตามมา

23.อย่าได้ไปเลือกซื้ออาหารเวลาที่คุณหิว เพราะเวลาคนหิยเห็นอะไรก็อยากทานไปหมด แล้วถ้าคุณซื้อมาเยอะคุณเสียดาย คุณก็จะทานมันไปให้หมดและคุณก็จะอ้วน

24.หาเหตุผลในการลดน้ำหนักให้กับตัวเองและระลึกไว้เสมอ ขณะลดน้ำหนัก นี่เป็นวิธีการให้กำลังใจที่ดีวิธีหนึ่ง เผื่อเวลาที่คุณกำลังจะหมดความอดทนต่ออาหารตรงหน้า

25. ข้อสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเผาผลาญแคลอรี่ในร่างกายทำให้คุณรู้สึกสดชื่น และลดความอยากอาหารไปได้มากทีเดียว

อย่าลืมนะค่ะ การออกกำลังและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพของเรานะค่ะ สาวๆ ห้ามละเลยเป็นอันขาด....

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง www.vcharkarn.com/vblog/56806

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง

วันนี้เกร็ดความรู้มี 10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูงมาฝากกัน...
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยา ศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการ ทำวิจัย "องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้" ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

ส่วน 10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว
คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูล อิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยง การเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุก วัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี
ขอบคุณบทความดีๆ จาก http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/10_13.html

*หมายเหตุ งานเขียนชิ้นนี้ ได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิทางปัญญา โดยลิขสิทธิเป็นของผู้เขียน ที่ให้เกียรตินำเผยแพร่ผ่าน วิชาการ.คอม เรามีความยินดีและอนุญาตให้ทำซ้ำหรือเผยแพร่ต่อเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาเท่านั้น กรุณาให้เกียรติผู้เขียน โดยอ้างชื่อผู้เขียนและ วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com) ทุกครั้งที่ทำการเผยแพร่ต่อ ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อในสื่อที่เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจก่อนได้รับอนุญาต ขอขอบคุณที่ร่วมกันช่วยสร้างให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งปัญญา

บทความธรรมเย็นใจ

ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่ มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ

ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือ สอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด

อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน

อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน

พยายามอบรมใจตนเองว่า

ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง

ชอบจับผิดแต่คนอื่น

มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา

เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม

ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน

ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร

ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน

ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร

เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง

อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย

พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลาง ๆ

ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา

แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา

และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ

สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก

ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่

เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ ไว้

อย่าเชื่อความรู้สึก

อย่าเชื่ออารมณ์

อย่ายินดียินร้าย

ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก

วัดสุนันทวนาราม

บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัด กาญจนบุรี

จากหนังสือเหตุสมควรโกรธ....ไม่มีในโลก

ขอขอบคุณภาพจาก

http://www.maemaiplengthai.com/webboard/attachments/20081019_2d2d637c163804e907bdh3hWKpXn9Xz8.jpg

/attachments

นิทานธรรมะ

นิทานธรรมะ

หมอนวิเศษ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในประเทศจีนมีชายชาวนาคนหนึ่ง
ชื่อ "อาเฉิน" กำลังนั่งกินอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ได้มีพ่อค้าเร่คนหนึ่ง
เข้ามาทักทายเขาว่า "พ่อหนุ่ม ทำมาหากินเป็นอย่างไรบ้าง"

"ไม่ไหวเลยครับ ชีวิตของข้าอับจนสิ้นดี" อาเฉินตอบอย่างเศร้าสร้อย
"เจ้าไม่พอใจในวิถีชีวิตของตนเองดอกหรือ?" พ่อเฒ่าสอบถาม
"จะให้ข้าพอใจได้อย่างไรในเมื่อข้าต้องทำงานหนักทั้งวัน
ถ้าข้าได้เป็นเศรษฐี ข้าจึงจะพอใจ" อาเฉินกล่าว พ่อเฒ่านิ่งงันไม่พูดอะไร

ก่อนจากกันพ่อเฒ่าได้ยื่นห่อผ้าในมือให้อาเฉิน และพูดขึ้นว่า
"พ่อหนุ่ม ข้าต้องเดินทางไปหมู่บ้านข้างเคียง พรุ่งนี้เช้าจึงจะกลับ
เจ้าจะเก็บรักษาหมอนใบนี้ไว้ให้ข้าได้หรือไม่? หมอนใบนี้หนุนนอนสบายดี
เจ้าจะใช้หมอนใบนี้หนุนหัวในคืนนี้ก็ได้"
อาเฉินรับคำจะเก็บรักษาหมอนไว้ให้ ทั้งสองจึงแยกทางกัน

ในคืนนั้น อาเฉินใช้หมอนของพ่อเฒ่าหนุนนอน

เมื่ออาเฉินตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีแท่งเงิน แท่งทองเต็มไปหมด
"รวยแล้ว ในที่สุดเราก็รวยสมใจนึก" อาเฉินตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ
"ข้าจะสร้างคฤหาสน์หลังงาม ข้าจะซื้อทุกอย่างที่ข้าต้องการ"

อีกไม่นานคฤหาสน์ของเขาก็สร้างเสร็จ ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา
อาเฉินเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว เขาไม่ปราถนาจะลดตัวลงไปเสวนากับคนจน
ดังนั้นเขาจึงปิดคฤหาสน์อาศัยอยู่ในนั้นตามลำพัง
อยู่มาไม่นานอาเฉินก็เบื่อหน่าย "ขาดอะไรไปสักอย่าง? อ้อรู้แล้ว
สวนของข้าว่างเปล่านั่นเอง" เขาจึงสั่งให้คนงานหาดอกไม้หลากสีสัน
งดงามที่สุดเท่าที่จะหาได้ และไม้ใหญ่มาปลูกไว้ในสวน และขุดสระเลี้ยงปลา

แต่แล้ว อาเฉินยังรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
"จะต้องขาดอะไรไปสักอย่าง อ้อรู้แล้ว บ้านหลังนี้เงียบเกินไป"
อาเฉินจึงว่าจ้างนักดนตรี นักรำมาขับกล่อมให้ความบันเทิง
แต่แล้วต่อมาไม่นาน อาเฉินก็รู้สึกเบื่อกับการร้องรำ เขาจึง
ไล่นักดนตรี นักรำออกจากบ้านไป อาเฉินรู้สึกเหงาหงอยอ้างว้าง
"อ้า...สิ่งที่ข้าต้องการคือ ภรรยาสักคน...ใช่แล้ว"

อาเฉินส่งคนรับใช้ไปป่าวประกาศกลางหมู่บ้านว่า หญิงใดที่ยังเป็นโสด
ขอให้มาชุมนุมที่หน้าคฤหาสน์ของเขาในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เขาเลือกเป็นภรรยา
แต่ ไม่มีหญิงใดโผล่หน้ามาให้เห็นในเช้าวันถัดมา อาเฉินรู้สึกแค้นเคืองฉุนเฉียว
"เฮอะ ชาวนาโง่เง่า ข้าไม่เห็นจะต้องการเลย อยู่คนเดียวก็ได้"

อยู่มาวันหนึ่ง อาเฉินตัดสินใจลงจากเขา อาเฉินนั่งเกี้ยวงดงาม
มีคนรับใช้สี่คนหาม มาดโอ่อ่าภูมิฐานยิ่งนัก แต่อาเฉินก็ต้องประหาดใจ
เมื่อผู้คนในหมู่บ้านไม่มีใครให้ความสนใจเขาเลย เมื่อเขาผ่านโรงเตี๊ยมเก่า
เขาได้ยินเสียงผู้คนทักทายกัน สลับกับเสียงหัวเราะเป็นระยะ เขามองเห็น
เพื่อนเก่าซดข้าวต้มร่วมกัน แม้คนเหล่านั้นจะยากไร้ แต่ก็มีความสุขยิ่ง

อาเฉินหวนกลับมายังคฤหาสน์อ้างว้าง นั่งครุ่นคิดอยู่เป็นนาน
เขากลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว แต่ก็ไม่มีความสุข ชีวิตแสนสบายแต่อ้างว้าง
อาเฉินอยากจะกลับไปเป็นชาวนาสามัญเช่นเดิม แล้วเขาก็เผลอหลับไป

เมื่ออาเฉินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องเก่าซอมซ่อ

ทุกอย่างอยู่ในสภาพเดิม อาเฉินเพิ่งรู้ว่าตัวเองฝันไป เขาวิ่งออกจากกระท่อม
หัวเราะร่าด้วยความยินดี อาเฉินร้องทักทายชาวนาที่เดินผ่านบ้าน เหมือนกับ
เพื่อนรักที่หายหน้าไปนาน และพอถึงตอนสายของวันชายชราเจ้าของหมอน
ก็ได้มาหาอาเฉิน "เป็นอย่างไรพ่อหนุ่ม เมื่อคืนหลับฝันดีหรือไม่"

อาเฉินวิ่งกลับเข้าบ้าน หยิบเอาหมอนห่อผ้าให้เรียบร้อย ยื่นคืนให้เจ้าของ
"ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก ที่ให้ยืมหมอนวิเศษใบนี้
ข้าเพิ่งได้บทเรียนล้ำค่าของชีวิต...ไม่มีสุขใดใหญ่หลวงเกินไปกว่า
ความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่อีกแล้ว"

อาเฉินหยิบจอบขึ้นพาดบ่า เดินผิวปากออกจากบ้าน
มุ่งหน้าไปยังท้องนา พ่อเฒ่าอมยิ้ม และออกเดินทางต่อไป

ที่มา http://www.watkoh.com

นิทานธรรมะ

อีกห้านาที นิทานธรรมะ กฏแห่งกรรม


วันหนึ่ง ขณะอยู่ที่สวนสาธารณะ หญิงคนหนึ่งนั่งลงข้างชายคนหนึ่งบนม้านั่งใกล้สนามเด็กเล่น ลูกชายของฉันอยู่ที่นั่นค่ะ เธอบอกและชี้ไปที่เด็กชายเล็กๆคนหนึ่งในเสื้อกันหนาวสีขาว ที่กำลังไถลลงจากไม้ลื่น
น่ารักน่าชังจริง ๆ ครับ ชายตอบพร้อมกับชี้ไปที่ชิงช้า ลูกชายผมใส่เสื้อสีเขียวครับ แล้วเขาก็ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนที่จะตะโกนเรียกลูกชาย
“ลูกแก้วเราจะไปกันแล้ว”
แก้วอ้อนพ่อ “ แค่ห้านาทีครับพ่อ ห้านาทีเอง”
ชายคนนั้นพยักหน้าให้ลูกเล่นได้ต่อไปอย่างที่ต้องการ
ผ่านไปห้านาที พ่อยืนขึ้นและเรียกลูกชายอีกครั้ง “ได้เวลาไปรึยังลูก”
แก้วอ้อนอีกครั้ง “ห้านาทีครับ อีกห้านาที”
ชายคนเดิมยิ้มรับและพูดว่า “ตกลง”
หญิงคนนั้นพูดทันที “เหลือเชื่อจริงๆ คุณช่างเป็นพ่อที่อดทนจัง”
ชายคนนั้นพูดว่า กาย ลูกชายคนโตของผมถูกรถชนตายเมื่อปีที่แล้ว เหตุจากคนเมาแล้วขับ ผมไม่เคยใช้เวลากับกายมากนัก ตอนนี้ผมยินดีแลกกับทุกอย่างถ้าจะได้ใช้เวลาสักห้านาทีกับลูก ผมสาบานว่าผมจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก
“ลูกผมคิดว่าจะมีเวลาได้เล่นชิงช้าเพิ่มอีกห้านาที แต่ที่จริงแล้ว ผมต่างหากที่มีเวลาดูแกเล่นเพิ่มอีกห้านาที”

ที่มา : prajan.com

อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

www.dhamma5minutes.com : Webboard

POST : 81
อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

View 992
Ans 0


Member

อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

ธรรมะฝึกจิต


อย่ากลัวตาย แต่ต้องเตรียมตัวตาย

สองสามวันที่ผ่านมา ผู้เขียนอยู่กับความหดหู่ใจด้วยเรื่องราวสำคัญสองประการ หนึ่ง คือการมรณภาพของพระครูธีรสารโสภณ หรือที่ญาติโยมและลูกศิษย์ลูกหาเรียกขานท่านว่า หลวงปู่ศักดิ์ กับคลื่นยักษ์สึนามิถล่มภาคใต้ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

คลื่นยักษ์สึนามิเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นดินไหวใต้ทะเลส่งผลไปทั่วแถบทะเลอันดามัน ลามไปถึงอินเดีย ศรีลังกา ยอดคนตายและบาดเจ็บหลายแสนคน ทรัพย์สินเสียหายแทนจะประมาณค่ามิได้

นับเป็นโศกนาฏกรรมอันใหญ่ยิ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

สำหรับการมรณภาพของหลวงปู่ศักดิ์ หรือพระครูธีรสารโสภณ ต้องถือเป็นเรื่องช็อกของผู้เขียนอย่างมาก เพราะเมื่อวันก่อนเข้าพรรษาที่ผ่านมายังเดินทางไปกราบเจดีย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่จังหวัดอุบลราชธานีด้วยกัน วันนั้นท่านยังแข็งแรงมากด้วยกำลังวังชา ไม่เห็นริ้วรอยของความเจ็บไข้ได้ป่วยแม้แต่น้อย

ในวันวางศิลาฤกษ์ ศาลาอุโบสถวัดป่าพอก หลวงปู่ศักดิ์ก็ยังมาร่วมพิธีด้วยรอยยิ้มแย้มแจ่มใส หากหลังจากนั้นเพียงสี่ห้าเดือนท่านจากเราไปอย่างไม่คาดฝันด้วยโรคร้ายมะเร็งในตับ

ผู้เขียนได้รู้จักและกราบท่านครั้งแรกเมื่อคราวสร้างวัดป่าชนะสงคราม ที่อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ช่วงนั้นท่านมาวิเวกที่วัดป่าบ้านเด่นดีหมี ห่างจากวัดที่ผู้เขียนกำลังสร้างประมาณสี่ห้ากิโลเมตร แรก ๆ ท่านบอกกับญาติโยมว่าจะอาศัยสถานที่ภาวนาสักระยะค่อยเดินทางต่อ...แต่ญาติโยมนิมนต์ไว้ พรรษานั้นท่านจึงอยู่โปรดญาติโยมตลอดทั้งพรรษา และหลังจากออกพรรษา หลวงปู่ศักดิ์ก็เดินธุดงค์เข้าเขตพม่าทั้ง ๆ ที่ผู้เขียนได้นิมนต์เอาไว้แต่ท่านได้ปฏิเสธด้วยความนิ่มนวล

“ขอไปก่อน...ใกล้เข้าพรรษาจะกลับมาค่อยว่ากันอีกที”

พรรษาต่อมาวัดป่าชนะสงครามเสร็จสิ้น ทางคณะศรัทธาจัดพิธีมอบถวายให้สงฆ์ ภาระการก่อสร้างของผู้เขียนจบลงทำให้โอกาสเดินทางขึ้นสุโขทัยลดน้อย พร้อม ๆ ข่าวคราวของหลวงปู่ศักดิ์เงียบหายไประยะหนึ่ง จนในเดือน พฤษภาคม ๒๕๔๖ ใกล้วันเกิดของผู้เขียน หลวงปู่ศักดิ์ได้ติดต่อผ่านทางอาจารย์ประดิษฐ์ โชติโก ให้บอกภูเตศวรว่าปีนี้ท่านจะมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์วัดป่านาล้อม จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อรู้ข่าวผู้เขียนจึงเดินทางขึ้นไปกราบท่านทั้ง ๆ ที่ป่วยอยู่ วันที่ขึ้นไปตรงกับวันคล้ายวันเกิดของตัวเองจึงได้ทำบุญเลี้ยงพระไปด้วย

หลังฉันภัตตาหารเสร็จ หลวงปู่ศักดิ์ได้ปรารภว่าในวันอายุครบ ๔๕ ขึ้น ๔๖ ของแม้ว หลวงปู่ทำกลด ๔๖ อันให้ แต่ขอเอาไว้ ๑๖ อันสำหรับถวายครูบาอาจารย์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ส่วนที่เหลือ ๓๐ อันสุดแล้วแต่แม้วจะให้ใคร โดยท่านให้เหตุผลสั้น ๆ ว่า

“กลดจะได้กางกั้นภัยให้แม้วไง”

กลดจำนวนสามสิบอันผู้เขียนได้จำแนกแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ลูกหาบ้าง หลายคนทำบุญมาได้เงินประมาณสามหมื่น สมทบงานบุญทอดกฐินที่วัดอมราวาส จ.สุโขทัยทั้งหมด

นั่นคือความเมตตาของหลวงปู่ศักดิ์ หรือพระครูธีรสารโสภณที่มีต่อภูเตศวร!

จากปี ๒๕๔๖ จนสิ้นพรรษา ได้พบปะท่านอีกครั้งสองครั้ง ครั้งสุดท้ายคืองานวางศิลาฤกษ์ ศาลาอุโบสถวัดป่าพอกช่วงเทศกาลสงกรานต์ และตลอดช่วงเข้าพรรษาปี ๒๕๔๗ นี้ ได้ข่าวว่าท่านหวนคืนไปจำพรรษาที่วัดป่าศรีดงลาน อำเภอสีชมพู จังหวัดขอนแก่น ใกล้ ๆ กับบ้านเกิดของท่าน จนล่าสุดเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้รับข่าวอันสุดงงงัน...ข่าวที่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง

หลวงปู่ศักดิ์หรือพระครูธีรสารโสภณ มรณภาพแล้ว!

เช้าวันที่ ๑๗ ผู้เขียนขับรถมุ่งหน้าไปกราบศพท่าน จากนั้นจึงทราบเรื่องราวความจริง...ว่าตลอดพรรษาที่ผ่านมาหลวงปู่ทนทุกข์กับโรคร้ายอย่างไร ท่านต่อสู้กับมะเร็งในตับที่เจ็บปวดอย่างสงบเงียบเยี่ยงพระป่ากรรมฐาน แม้ก่อนหน้าจะละสังขารเพียงสามสี่วัน โยมจากทางไกลโทรศัพท์มาหา ถามข่าวคราว ท่านยังตอบสั้น ๆ “ยังสบายดีอยู่”

ทั้งปวงเพราะไม่ต้องการให้ญาติโยมต้องลำบาก เพราะความป่วยไข้ เพราะการอาพาธของท่านมากกว่าประการอื่น

ก่อนวันมรณภาพ ชาวบ้านและคณะศรัทธาวัดศรีดงลานรู้ว่าหลวงปู่มีปัจจัยอยู่ทั้งหมดเพียง ๔๐ บาท ขณะที่ทุกคนรู้แน่ชัดจากแพทย์แล้วว่าอีกไม่กี่วันท่านต้องมรณภาพอย่างแน่นอน ปัญหาจึงอยู่ที่การหาปัจจัยเพื่อจัดงานศพ แต่หลวงปู่ก็ยังพูดแบบติดตลกด้วยการชี้ไปยังต้นมะพร้าวที่แคระแกร็นที่สุดในวัด

“เอาเชือกผูกคอลากไปฝังใต้ต้นมะพร้าวต้นนั้นมันจะได้งามเหมือนต้นอื่น ๆ เด้อ” แม้จะพูดยิ้มๆ แต่ท้ายสุดท่านยังแย้มให้คณะศรัทธาวัดป่าศรีดงลานเห็นภาวะจิตระดับสูงของท่านด้วยประโยคที่มั่นใจ

“อีกไม่นานด๊อก พวกเจ้าจะได้เห็นภูเตศวร เขาเป็นนักเขียนนะ เขาจะมาจัดการให้เองแหละ”

ครับ...จริงอย่างที่หลวงปู่ศักดิ์ปรารภ ภูเตศวรมีโอกาสขึ้นไปจริง ๆ ขึ้นไปเป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรม และมีโอกาสซื้อเจดีย์เล็ก ๆ บรรจุอัฐิธาตุของท่านหลังการประชุมเพลิงเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้กราบไหว้ต่อไป ขึ้นไปอย่างกะทันหันแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างที่ท่านกล่าวจริง ๆ

ฉบับนี้คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสดงความเสียใจต่อญาติมิตรญาติธรรมผู้ใกล้ชิดหลวงปู่ศักดิ์ที่สูญเสียสุปฏิปันโนพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สูญเสียครูบาอาจารย์ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน รวมทั้งโศกนาฏกรรมจากคลื่นยักษ์สึนามิที่ภาคใต้ด้วย

และขอให้ทุกท่านจงอยู่กับสติ...ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เพราะมรณกรรม...มรณภัย สามารถบังเกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ตลอดเวลา โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

เหตุการณ์ทั้งปวงดังกล่าว ทำให้ผู้เขียนคิดถึงคำกล่าวของหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล วัดป่าสันติกาวาส อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี ที่ท่านกล่าวถึงคุณอนุชิต ปุรสาชิต ที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดด้วยคำถามที่ว่า

“ผู้จัดการกลัวตายไหม?”

“กลัวครับ” คุณอนุชิตหรือเฮียกวงของผู้เขียนตอบตามจริง ท่านก็เลยหัวเราะ บอก...

อย่ากลัวตาย เพราะคนเราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครหลบเลี่ยงความตายได้" และทิ้งท้ายเบา ๆ เพียงแต่เราต้องเตรียมตัวที่จะตาย หาวิธีรับมือกับความตายอย่างไม่ประมาท

“เตรียมยังไงครับ?” เฮียกวงย้อนถาม ท่านเลยวิสัชชนาต่อ...

หัดให้ทาน...ฝึกภาวนาให้มาก ถ้าใครทำได้จะไม่กลัวความตาย

ประโยคสั้น ๆ ของหลวงปู่บุญจันทร์ จดจำอยู่ในใจผู้เขียนเสมอมา การรู้จักให้ทานแก่ผู้ควรให้คือการสร้างพลปัจจัยแห่งบุญเพื่อชาติภพในกาลข้างหน้า การภาวนาฝึกจิตคือการหาปัญญาสำหรับการสิ้นทุกข์ในแก่นพระนิพพาน

นั่นคือหน้าที่ของชาวพุทธที่พึงกระทำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตรงกับพุทธดำรัสขององค์พระบรมศาสดาที่ชาวเรารู้กันในพุทธโอวาทก่อนปรินิพพานที่ว่า...

สังขารทั้งหลายย่อมมีการเสื่อมสิ้นลงเป็นธรรมดา ฉะนั้นจงยังประโยชน์ตน...ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

ประโยชน์ตนคือการปฏิบัติธรรม การเจริญสมาธิภาวนา ประโยชน์ท่านคือการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วยการให้ทาน ด้วยความเมตตากรุณา ซึ่งตรงกับแก่นธรรมอันเป็นไตรสิกขาบทที่เราท่านมิอาจลืมเลือน คือ ศีล ทาน ภาวนา นั่นเอง

ครับ...ก็ต้องจากลากันด้วยประโยคที่ว่า... อย่ารู้แค่จดจำ แต่รู้แล้วต้องกระทำจึงจะเป็นผลสำเร็จ...จึงอยากถามว่า

...ปีใหม่นี้ท่านเริ่มต้นทำแล้วหรือยัง?”

< 03 December 2007 14:17:35 >

บ้านของคนเกิดปีต่างๆ

บ้านคนปีชวด (พ.ศ. 2527, 2515 และ 2503)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีชวด ควรมีเครื่องดนตรีอย่างน้อย 1 ชิ้น อยู่ในบ้าน เช่น ขลุ่ย เมาท์ออร์แกน เปียโน กีตาร์ ฯลฯ แม้จะเล่นไม่เป็น เพียงมีไว้ประดับบ้านก็ถือว่าถูกโฉลก นำโชคดีมาสู่ในบ้าน แต่ถ้าเป็นเครื่องดนตรีที่สมาชิกในบ้าสามารถเล่นได้จริงๆ หรือมีการเล่นร่วมดนตรีด้วยกันภายในครอบครัว เสียงดนตรีที่ดังขึ้นดุจดั่งเสียงสวรรค์ที่เรียกทรัพย์นับล้านเข้าสู่บ้านคนปีชวด
บ้านคนปีฉลู (พ.ศ. 2528, 2516 และ 2504)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านของคนปีฉลู ไม่ควรมีอะไรที่เป็นทรงกลม ยกเว้นโต๊ะอาหารที่เป็นโต๊ะกลมได้ นอกนั้นแล้วสิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้านควรเป็นเหลี่ยมเป็นมุมทั้งหมด ตัวอย่างเช่น นาฬิการทรง 8 เหลี่ยม อ่างบัวทรง 5 เหลี่ยม กระถางต้นไม้ทรง 4 เหลี่ยม รวมไปถึงลวดลายของเหล็กดัด วอลล์เปเปอร์ ก็ควรเป็นรูปทรงเหลี่ยม หลีกเลี่ยงรูปวงกลมและรูปโค้งมนต่างๆ
บ้านคนปีขาล (พ.ศ. 2529, 2517 และ 2505)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านของคนปีขาล ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ เตียง ควรมีขนาดใหญ่กว่าปกติ หน้าบ้านควรมีต้นไม้ใหญ่ หรือ สัญลักษณ์ที่ใหญ่โตโดดเด่น อาทิ มีประตูหน้าบ้านบานใหญ่ มีโอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ เป็นต้น ในห้องรับแขกควรมีรูปภาพพระอาทิตย์ขึ้นประดับไว้ จะช่วยเพิ่มพลังอำนาจ และบารมีให้มีมากขึ้นกว่าเดิม
บ้านคนปีเถาะ (พ.ศ. 2530, 2518 และ 2506 )
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีเถาะ ควรเป็นบ้านที่มีความร่มรื่น ร่มเย็น มีสนามหญ้า ต้นไม้ ดอกไม้ อ่างบัว ตัวบ้านมีความโปร่งโล่งสบาย มีแสงแดดและแสงสว่างพอประมาณ ในห้องนอนหรือห้องรับแขก ควรมีตุ๊กตาเซรามิครูปกระต่าย รูปไก่ รูปไข่ รูปหมู รูปเด็กทารก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย จะช่วยให้เงินทองไม่รั่วไหลไปไหน ได้ปรับเงินเดือน ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้พบกับความสมหวังและสมปรารถนาทุกประการ
บ้านคนปีมะโรง (พ.ศ. 2531, 2519 และ 2507)
เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีมะโรง ควรจะมีชื่อบ้าน โดยเป็นชื่อที่เป็นมงคลและถูกต้องตามหลักทักษาของเจ้าของบ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะใช้ชื่อหรือนามสกุลของเจ้าของบ้านมาเป็นชื่อบ้าน ซึ่งถ้าชื่อหรือนามสกุลถูกโฉลกอยู่แล้ว ชื่อบ้านก็ย่อมจะดีตามไปด้วย ชื่อบ้านต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับลักษณะของบ้านและ ผู้อยู่อาศัย ห้ามขัดแย้ง หรือตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น บ้านทาสีฟ้าทั้งหลังแต่ตั้งชื่อบ้านว่าเรือนสีชมพู หรือ บ้านอยู่ติดภูเขา แต่ตั้งชื่อบ้านว่า บ้านริมทะเล ลักษณะอย่างนี้ถือว่าไม่เหมาะสมจะทำให้อับโชค พบเจอแต่อุปสรรคขวากหนามในการดำเนินชีวิต
บ้านของคนปีมะเส็ง (พ.ศ. 2532, 2520 และ 2508)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง บ้านของคนปีมะเส็งต้องมีแสงสว่างอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ต้องให้ความรู้สึกว่าสว่างอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ควรจะมีไฟภายนอกบ้านอย่างน้อยสัก 1 ดวงที่เปิดให้ความสว่างอยู่ตลอดคืนโดยเฉพาะไฟดวงไหนหากเปิดไว้แล้วนอกจากจะให้ความสว่างแก่บ้านของเรา ยังให้ความสว่างและความปลอดภัยแก่บ้านหลังอื่นและผู้ที่เดินทางผ่านไปมา ถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง บ้านมืดๆ จะนำภัยอันตรายและโชคร้ายมาสู่คนปีมะเส็ง
บ้านคนปีมะเมีย (พ.ศ. 2533, 2521 และ 2509)
เพื่อความเจริญก้าวหน้า บ้านของคนปีมะเมีย ต้องมีความเคลื่อนไหว เช่น มีธงโบกสะบัด มีน้ำพุ มีกังหัน มีโมบาย มีสุนัขหรือแมววิ่งเล่นกัน มีต้นไม้ใหญ่ที่โอนเอนตามสายลมภายในบ้าน ก็ควรมีสัญลักษณ์ของความเคลื่อนไหวหรือความเร็ว เช่น รถยนต์โบราณ รถไฟ เรือใบ เรือสำเภา เครื่องบิน จรวด ฯลฯ เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านที่สงบ นิ่งและเงียบเกินไป จะทำให้คนปีมะเมียอึดอับและอับโชค
บ้านคนปีมะแม (พ.ศ. 2534, 2522 และ 2510)
เพื่อความสุขและความสำเร็จ บ้านของคนปีมะแม ควรเป็นบ้านที่สะสมงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพวิวทิวทัศน์ งานหล่อ งานปั้น งานแกะสลัก หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดีภาพยนตร์ ฯลฯ ล้วนถูกโฉลกและนำโชคดีมาสู่คนปีมะแม และถ้าผลงานศิลปะเหล่านั้น เป็นฝีมือของเจ้าของบ้านด้วยแล้ว จะยิ่งถูกโฉลกและโชคดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
บ้านของคนปีวอก ( พ.ศ. 2523, 2511 และ 2499)
เพื่อความเจริญรุ่งเรือง บ้านของคนปีวอก ควรเป็นบ้านที่มีการขยับขยาย เพิ่มเติม ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาเพื่อให้สอดคล้องสมดุลกับผู้อยู่อาศัย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นบ้านที่มีการเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น มีต้นไม้ใหม่ๆ มาปลูกเพิ่มอยู่เสมอมีเฟอร์นิเจอร์ใหม่มาทดแทนของเดิมที่ชำรุดเสียหาย มีเก้าอี้ม้าหินชุดใหม่มาตั้งแต่เพิ่มในสวน มีการเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ทุกๆ 2 ปี และทาสีบ้านใหม่ทุกๆ 3 ปี
บ้านของคนปีระกา (พ.ศ. 2524, 2512 และ 2500)
เพื่อความเป็นสิริมงคล บ้านของคนปีระกาต้องสวย สะอาด สดใส และดูใหม่อยู่เสมอ สิ่งของเครื่องใช้ภายในบ้าน ควรจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย รั้วบ้านและอาคารภายนอกบ้านควรทาสีใหม่ทุกๆ 3 ปี ภายในบริเวณบ้าน ห้ามมีสิ่งของแตกหัก ชำรุด เสียหาย ใบไม้แห้ง ต้นไม้หรือกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาโรยรา โดยเด็ดขาด รอยร้าวบนผนัง หากพบเจอต้องรีบแก้ไขในทันที หลอดไฟ กลอน กุญแจ ประตู หน้าต่าง ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
บ้านของคนปีจอ (พ.ศ. 2525, 2513 และ 2501)
เพื่อความมั่งมีศรีสุข บ้านของคนปีจอ ควรจะมีสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยงนำโชคของคนปีจอ เพราะความซื่อสัตย์และแสนรู้ของสุนัข จะช่วยให้คนปีจออารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส สมองปลอดโปร่ง ไม่เครียด ดังนั้นไม่ว่าจะคิดหรือทำอะไรก็ล้วนแต่โชคดีมีความสำเร็จ สุนัขที่เลี้ยงไว้ไม่ควรเลี้ยงตัวเดียว ควรเลี้ยงตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป แต่ก็อย่าให้มากเกิน ควรให้เหมาะสมกับบริเวณบ้านและกำลังในการดูแลเอาใจใส่
บ้านของคนปีกุน (พ.ศ. 2526, 2514 และ 2502)
เพื่อความมั่งคั่งร่ำรวย บ้านของคนปีกุน ต้องมีห้องครัวที่กว้างขวาง สะอาด สะดวก สบาย มีอุปกรณ์ในการทำครัวครบครัน เพราะการเข้าครัวทำอาหารของคนปีกุน ถือเป็นเรื่องมงคลนำมาซึ่งโชคลาภ ความสำเร็จ และความร่ำรวย และถ้ามีตุ๊กตาเซรามิครูปหมูสีขาวหรือสีชมพู สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ วางไว้ในห้องรับแขกหรือห้องรับประทานอาหารด้วย จะยิ่งถูกโฉลก โชคดี เฮง เฮง เฮง เพิ่มมากขึ้น

วัดในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

 

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับวัดในอำเภอเมืองเชียงใหม่

๑. ความหมายของ "วัด"
๒. วัดที่อยู่ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่
๓. วัดที่มีหลายชื่อ
๔. สรุปวัดในอำเภอเมืองเชียงใหม่

๑. ความหมายของ "วัด"

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๖. หน้า ๑๐๕๙) ให้คำนิยามของวัดว่า วัด (น) สถานที่ทางศาสนา โดยปกติมีโบสถ์ วิหารและที่อยู่ของสงฆ์หรือนักบวช เป็นต้น

สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ เล่ม ๑๒ (๒๕๔๒. หน้า ๖๑๕๐) ให้คำนิยามของวัดว่า วัดในความหมายที่แปลว่าที่อยู่ของพระสงฆ์มาจากภาษาบาลี และสันกกฤตว่า วาสและผ่านเป็นภาษาเขมรว่า วาส แล้วอ่านตามอักษรเป็นวัด ซึ่งในการเขียนด้วยอักษรธรรมล้านนาแล้ว พบว่าเขียนเป็นวัด วัต วัฎ วัท วัส หรือ วัษ โดยให้อ่านออกเสียง “วัด” ทั้งนี้แต่เดิมเรียก “วัด” ว่า “กู่” ซึ่งต่อมาคำว่า “กู่” กลายมามีความหมายแคบลงไปโดยแปลว่า เจดีย์และสถูป

วัดเป็นสถานที่ให้คนทั้งหลายได้ประกอบกุศลกรรม มีการให้ทาน การรักษาศีล การภาวนา การเทศน์ รวมทั้งงานประเภทบันเทิงต่างๆ ตามโอกาส นอกจากวัดที่ตั้งอยู่ในแหล่งที่มีประชากรหนาแน่นอย่างในเมืองแล้ว วัดมักจะตั้งอยู่ห่างจากแหล่งชุมชน เพื่อความวิเวกในการปฏิบัติสมณะธรรม แต่ก็ใกล้พอที่คนในชุมชนจะไปปฏิบัติกิจการกุศลได้โดยสะดวก

กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (๒๕๒๗, หน้า ๑) ได้ให้นิยามของวัดว่า วัดคือสถานที่ทางศาสนา โดยปกติแล้วมีโบสถ์ วิหาร และที่อยู่ของสงฆ์ หรือนักบวช เป็นต้น วัดพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นสถาบันศาสนาหรือที่ตั้งแห่งสถาบันทางศาสนาของสังคม ทั้งในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอหรือจังหวัด เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือพระอารามหลวงที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง จะมีฐานะเป็นที่ตั้งของสถาบันศาสนาของสังคมไทย ทั้งประเทศตามความหมายนี้ วัด
จะเป็นคำรวมที่ใช้เรียกสถาบันทางศาสนาของสังคม ซึ่งรวมเอาศาสนวัตถุสถานและศาสนธรรมไว้ด้วยกัน

เว็บไซด์ http://www.thaiwisdom.org/p-religion.html ได้ให้คำนิยาม วัดหมายถึง สถานที่ทางศาสนาตามปกติแล้วจะมีเสนาสนะ และอาคารถาวรวัตถุต่างๆ เป็นที่พำนักอาศัย ฝึกมาปฏิบัติพระธรรมวินัย และประกอบศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ตลอดจนเป็นที่บำเพ็ญกุศลต่างๆ นอกจากนี้วัดยังเป็นศูนย์กลางบริการทางการศึกษา และสังคม รวมทั้งแหล่งส่งเสริมศิลปะวัฒนธรรมประเพณี วัดทั้งหลายมีฐานะทางกฎหมาย คือ เป็นนิติบุคคลเท่าเทียมกัน แต่ในทางพระวินัยมีฐานะแตกต่างกัน ดังนั้น ตามมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้จำแนกวัดออกเป็น ๒ ชนิด คือ สำนักสงฆ์ และวัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา

จากคำนิยามดังกล่าวสรุปได้ว่า วัด เป็นสถานที่ทางศาสนา เป็นที่พำนักอาศัยศึกษาปฏิบัติธรรมวินัย ประกอบศาสนกิจของพระภิกษุสงฆ์ และเป็นสถานที่ให้ประชาชนได้ประกอบกุศลกรรม ฟังเทศน์ ฟังธรรม นั่งวิปัสสนา รักษาศีล ตลอดจนเป็นศูนย์กลางบริการการศึกษา สังคม

๒. วัดที่อยู่ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่

วัดในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ มีจำแนก ๑๔ ตำบล ในแต่ละตำบลได้เรียงชื่อวัดจำนวน ๑๒๐ วัดตามพจนานุกรม ดังนี้

๑. ตำบลช้างคลาน มีทั้งหมด ๙ วัด ดังนี้

๑.๑ วัดชัยมงคล
๑.๒ วัดช่างฆ้อง
๑.๓ วัดบุบผาราม
๑.๔ วัดพันตอง
๑.๕ วัดมหาวัน
๑.๖ วัดลอยเคราะห์
๑.๗ วัดศรีดอนชัย
๑.๘ วัดหัวฝาย
๑.๙ วัดอุปคุตไทย

๒. ตำบลช้างเผือกป่าตัน มีทั้งหมด ๘ วัด ดังนี้

๒.๑ วัดข่วงสิงห์
๒.๒ วัดเจ็ดยอด
๒.๓ วัดช่างเคี่ยน
๒.๔ วัดบ้านท่อ
๒.๕ วัดป่าตัน
๒.๖ วัดเมืองลัง
๒.๗ วัดแม่หยวก
๒.๘ วัดสันติธรรม

๓. ตำบลช้างม่อย มีทั้งหมด ๗ วัด ดังนี้

๓.๑ วัดชมพู
๓.๒ วัดชัยศรีภูมิ
๓.๓ วัดเชตวัน
๓.๔ วัดป่าแพ่ง
๓.๕ วัดแสงฝาง
๓.๖ วัดหนองคำ
๓.๗ วัดอู่ทรายคำ

๔. ตำบลท่าศาลาหนองป่าครั่ง มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๔.๑ วัดดอนจั่น
๔.๒ วัดบวกครกน้อย
๔.๓ วัดบวกครกหลวง
๔.๔ วัดศรีบัวเงิน
๔.๕ วัดหนองป่าครั่ง

๕. ตำบลป่าแดด มีทั้งหมด ๖ วัด ดังนี้

๕.๑ วัดเกาะกลาง
๕.๒ วัดดอนชัย
๕.๓ วัดท่าใหม่อิ
๕.๔ วัดป่าแดด
๕.๕ วัดป่าพร้าวนอก
๕.๖ วัดสิงห์คำ

๖. ตำบลพระสิงห์ มีทั้งหมด ๑๗ วัด ดังนี้

๖.๑ วัดเจดีย์หลวง
๖.๒ วัดช่างแต้ม
๖.๓ วัดทรายมูลพม่า
๖.๔ วัดทรายมูลเมือง
๖.๕ วัดผ้าขาว
๖.๖ วัดพระสิงห์วรวิหาร
๖.๗ วัดพวกหงษ์
๖.๘ วัดพวกแต้ม
๖.๙ วัดพระเจ้าเม็งราย
๖.๑๐ วัดพันเตา
๖.๑๑ วัดพันแหวน
๖.๑๒ วัดพันอ้น
๖.๑๓ วัดฟ่อนสร้อย
๖.๑๔ วัดเมธัง
๖.๑๕ วัดศรีเกิด
๖.๑๖ วัดหมื่นเงินกอง
๖.๑๗ วัดหมื่นตูม

๗. ตำบลฟ้าฮ่าม มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๗.๑ วัดขะจาว
๗.๒ วัดท่ากระดาษ
๗.๓ วัดฟ้าฮ่าม
๗.๔ วัดลังกา
๗.๕ วัดสันทราย

๘. ตำบลแม่เหียะ มีทั้งหมด ๖ วัด ดังนี้

๘.๑ วัดต้นปิน
๘.๒ วัดตำหนัก(ศิริมังคลาจารย์)
๘.๓ วัดท่าข้าม
๘.๔ วัดป่าชี่
๘.๕ วัดพระธาตุดอยคำ
๘.๖ วัดอุโบสถ

๙. ตำบลวัดเกตุ มีทั้งหมด ๗ วัด ดังนี้

๙.๑ วัดกู่คำ
๙.๒ วัดเกตุการาม
๙.๓ วัดเชตุพน
๙.๔ วัดท่าสะต๋อย
๙.๕ วัดเมืองกาย
๙.๖ วัดศรีโขง
๙.๗ วัดสันป่าข่อย

๑๐. ตำบลศรีภูมิ มีทั้งหมด ๒๒ วัด ดังนี้

๑๐.๑ วัดกู่เต้า
๑๐.๒ วัดควรค่าม้า
๑๐.๓ วัดชัยพระเกียรติ
๑๐.๔ วัดเชียงมั่น
๑๐.๕ วัดเชียงยืน
๑๐.๖ วัดดับภัย
๑๐.๗ วัดดวงดี
๑๐.๘ วัดดอกคำ
๑๐.๙ วัดดอกเอื้อง
๑๐.๑๐ วัดทุงยู
๑๐.๑๑ วัดบ้านปิง
๑๐.๑๒ วัดปราสาท
๑๐.๑๓ วัดป่าเป้า
๑๐.๑๔ วัดป่าพร้าวใน
๑๐.๑๕ วัดผาบ่อง
๑๐.๑๖ วัดมณเทียร
๑๐.๑๗ วัดสำเภา
๑๐.๑๘ วัดล่ามช้าง
๑๐.๑๙ วัดหม้อคำตวง
๑๐.๒๐ วัดหมื่นล้าน
๑๐.๒๑ วัดหัวข่วง
๑๐.๒๒ วัดอุโมงค์

๑๑. ตำบลสันผีเสื้อ มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๑๑.๑ วัดท่าเดื่อ
๑๑.๒ วัดท่าหลุก
๑๑.๓ วัดป่าข่อยใต้
๑๑.๔ วัดป่าข่อยเหนือ
๑๑.๕ วัดร้องอ้อ

๑๒. ตำบลสุเทพ มีทั้งหมด ๙ วัด ดังนี้

๑๒.๑ วัดป่าแดง
๑๒.๒ วัดโป่งน้อย
๑๒.๓ วัดผาลาด
๑๒.๔ วัดฝายหิน
๑๒.๕ พระธาตุดอยสุเทพ
๑๒.๖ วัดร่ำเปิง
๑๒.๗ วัดศรีโสภา
๑๒.๘ วัดสวนดอก
๑๒.๙ วัดอุโมงค์

๑๓. ตำบลหนองหอย มีทั้งหมด ๕ วัด ดังนี้

๑๓.๑ วัดเมืองสาตรน้อย
๑๓.๒ วัดเมืองสาตรหลวง
๑๓.๓ วัดศรีบุญเรือง
๑๓.๔ วัดสันป่าเลี่ยง
๑๓.๕ วัดเสาหิน

๑๔. ตำบลหายยา มีทั้งหมด ๙ วัด ดังนี้

๑๔.๑ วัดดาวดึงษ์
๑๔.๒ วัดธาตุคำ
๑๔.๓ วัดนันทาราม
๑๔.๔ วัดพวกเปีย
๑๔.๕ วัดพวกช้าง
๑๔.๖ วัดเมืองมาง
๑๔.๗ วัดศรีพิงค์เมือง
๑๔.๘ วัดศรีสุพรรณ
๑๔.๙ วัดหมื่นสาร

๓. วัดที่มีหลายชื่อ

๑. วัดกู่เต้า - วัดเวฬุวนารามวิหาร
๒. วัดเกตุการาม - วัดสระเกษ
๓. วัดเกาะกลาง - วัดปางสนุกนางเหลียว
๔. วัดข่วงสิงห์ - วัดข่วงสิงห์ชัยมงคล
๕. วัดเจ็ดยอด - วัดมหาโพธาราม
๖. วัดเจดีย์หลวง - วัดโชติการาม , วัดราชภูฎาคาร
๗. วัดชัยพระเกียรติ - วัดผาเกียรติ , วัดชัยผาเกียรติ
๘. วัดชัยมงคล - วัดอุปานอก , วัดอุปาเม็ง , วัดชัยมงคลริมปิง
๙. วัดชัยศรีภูมิ - วัดพันต๋าเกิ๋น
๑๐. วัดเชตวัน - วัดเหนือ
๑๑. วัดวัดมหาวัน - วัดใต้
๑๒.วัดดวงดี - วัดต้นหมากเหนือ , วัดต้นมกเหนือ , วัดพนมดี ,วัดพันธนุนมดี ,วัดอุดมดี
๑๓. วัดดอกคำ - วัดช่างต้องคำ
๑๔. วัดเชียงยืน - วัดฑีฆาชีวาราม
๑๕. วัดดอกเอื้อง - วัดนางเอื้อง , วัดน้าเอื้อง
๑๖. วัดดับภัย - วัดอภัย
๑๗. วัดดาวดึงษ์ - วัดเมืองสาบ
๑๘. วัดต้นปิน - วัดพระจันทร์
๑๙. วัดตำหนัก - วัดสวนขวัญ , วัดศิริมังคลาจารย์
๒๐. วัดท่ากระดาษ - วัดท่าพลูเหลือง
๒๑. วัดท่าสะต๋อย - วัดศรีสร้อยทรายมูล
๒๒. วัดทุงยู - วัดตุยยู , วัดทุยยู
๒๓. วัดธาตุคำ - วัดกุฎีคำ , วัดใหม่
๒๔. วัดนันทาราม - วัดนันตาราม
๒๕. วัดบวกครกน้อย - วัดหัวดง
๒๖. วัดบุพาพาราม - วัดอุปา
๒๗. วัดปราสาท - วัดผาสาท
๒๘. วัดป่าข่อยใต้ - วัดสันกำแพงงาม ,วัดป่าไผ่เคลิบ
๒๙. วัดป่าแดงมหาวิหาร - วัดป่าแดงหลวง
๓๐. วัดป่าตัน - วัดคอกควาย
๓๑. วัดป่าเข้า - วัดพระหมณ์ , วัดจองป่าเป้า
๓๒. วัดพระเจ้าเม็งราย - วัดคานคอด, วัดก๋าหละก้อด, วัดศรีสร้อยท้าแจ่ง
๓๓. วัดพระธาตุดอยคำ - วัดสุวรรณบรรพต
๓๔. วัดพระธาตุดอยสุเทพ - วัดดอยสุเทพ
๓๕. วัดพระสิงห์ - วัดลีเชียงพระ
๓๖. วัดพันตอง - วัดพระงาม , วัดพันทอง
๓๗. วัดพันอ้น - วัดเจดีย์ควันพันอ้น
๓๘. วัดเมธัง - วัดช่างลาน
๓๙. วัดเมืองมาง - วัดหมื่นเยื้อน
๔๐. วัดร่ำเปิง - วัดตะโปทาราม
๔๑. วัดลอยเคราะห์ - วัดฮ้อยข้อ
๔๒. วัดศรีเกิด - วัดพิธธาราม
๔๓. วัดศรีบุญเรือง - วัดโรงวัว
๔๔. วัดศรีบุญปิงเมือง - วัดสันป่าลาน
๔๕. วัดศรีโสดา - วัดโสดาบัน
๔๖. วัดสวนดอก - วัดบุปผารามสวนดอกไม้
๔๗. วัดสันทราย - วัดสะหรีปิงชัย , วัดสันทรายต้นกอก
๔๘. วัดสันป่าเลี่ยง - วัดสันปอเลียง
๔๙. วัดเสาหิน - วัดพันเลาเสาหิน
๕๐. วัดแสนฝาง - วัดสันขวาง
๕๑. วัดหม้อคำตวง - วัดหมื่นคำตวง
๕๒. วัดหัวฝาย - วัดศรีทรายมูล
๕๓. วัดอุโบสถ - วัดโบสถ วัดบัวสด
๕๔. วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์ - วัดโพธิ์น้อย ,วัดมหาจันทร์
๕๕. วัดอุโมงค์ - วัดเวฬุกัฐฐาราม , วัดไผ่ 11 กอ
๕๖. วัดอู่ทรายคำ - วัดอุปคำ
๕๗. วัดหัวข่วง - วัดแสนเมืองมาหลวง
๕๘. วัดศรีดอนชัย - วัดป่ากล้วย
๕๙. วัดมหาวัน - วัดมหาวนาราม

๔. สรุปวัดในอำเภอเมืองเชียงใหม่

๑. ตำบลช้างคลาน
๒. ตำบลช้างเผือกป่าตัน
๓. ตำบลช้างม่อย
๔. ตำบลท่าศาลา
๕. ตำบลป่าแดด
๖. ตำบลพระสิงห์
๗. ตำบลฟ้าฮ่าม
๘. ตำบลแม่เหียะ
๙. ตำบลวัดเกตุ
๑๐. ตำบลศรีภูมิ
๑๑. ตำบลสันผีเสื้อ
๑๒. ตำบลสุเทพ
๑๓. ตำบลหนองหอย
๑๔. ตำบลหายยา

จำนวน ๙ วัด
จำนวน ๘ วัด
จำนวน ๗ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๖ วัด
จำนวน ๑๗ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๖ วัด
จำนวน ๗ วัด
จำนวน ๒๒ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๙ วัด
จำนวน ๕ วัด
จำนวน ๙ วัด

พิมพรรณ ปัญญามณี: เกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านป่าข่อยใต้

พิมพรรณ ปัญญามณี: เกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านป่าข่อยใต้

เกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ บ้านป่าข่อยใต้

นางจันทร์ดี ศักดิ์สอน

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

อาทิตย์, 07 กันยายน 2008

02.JPGนางจันทร์ดี ศักดิ์สอน
ที่อยู่ 48 ม.2 ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
โทรศัพท์ -
ผลิตผัก ผักบุ้ง ผักกาด พริก กะหล่ำดอก มะเขือ

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 14 มิถุนายน 2009 )

นางเอ้ย กันทะวัง

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

อาทิตย์, 07 กันยายน 2008

03.JPGนางเอ้ย กันทะวัง
ที่อยู่ 239 ม.2 ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
โทรศัพท์ -
ผลิต ผักบุ้ง ผักกาด ผักคะน้า พริก

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 14 มิถุนายน 2009 )

นายสงัด พรหมมินทร์

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

ศุกร์, 03 ตุลาคม 2008

Picture 046.jpg

ชื่อ-นามสกุล นายสงัด พรหมมินทร์

ที่อยู่   42 ต.สันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่


โทร
  053-379402

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( อาทิตย์, 14 มิถุนายน 2009 )

นายละมัย พรหมมา

PDF

พิมพ์

อีเมล์

เขียนโดย Administrator

ศุกร์, 03 ตุลาคม 2008

Picture 048.jpg

ชื่อ-นามสกุล นายละมัย พรหมมา

ที่อยู่ 175  ต.สันผีเสื้อ อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ โทร 084-1604617

งานเปิดศูนย์ประสานงานที่ บ้านป่าข่อยใต้ ต.สันผีเสื้อ

งานเปิดศูนย์ประสานงานที่ บ้านป่าข่อยใต้ ต.สันผีเสื้อ

ข่าวสารประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2551 เวลา 09.00-12.00 น. ณ ตลาดเช้าบ้านป่าข่อยใต้ (ศาลาประชาคม) ได้มีการเปิดศูนย์ประสารงานที่ บ้านป่าข่อยใต้ ต.สันผีเสื้อ เชิญชมบรรยากาศ

ข้อมูลบ้านป่าข่อยใต้ พอสังเขป

ตำบลสันผีเสื้อ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ มีประชากรจำนวน 8,421 คน มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่ทั้งตำบลประมาณ 7,511 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นพื้นที่ราบลุ่ม มีแม่น้ำปิงไหลผ่าน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงชุมชนในตำบลสันผีเสื้อ อาชีพส่วนใหญ่คือ ปลูกพริกขี้หนู พริกหนุ่ม กะหล่ำดอก บล็อกโคลี่ แต่เดิมเกษตรกรใช้สารเคมีและยากำจัดศัตรูพืชในการเพาะปลูกอย่างไม่ถูกต้อง และใช้ในปริมาณมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จากการตรวจสารเคมีตกค้างในร่างกายของเกษตรกร โดยสถานีอนามัยตำบลสันผีเสื้อ พบว่ามีสารเคมีตกค้างในร่างกาย เกษตรกรสูงถึงร้อยละ 78 จากการตรวจสภาพดินของคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าในดินมีธาตุโปแตสเซียม ตกค้างสูง สาเหตุมาจากการใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมาก และเป็นเวลานาน ทำให้ได้ผลผลิตน้อยลง มีโรคใบหงิกและเชื้อรา แทรกในผลผลิต ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ลดลง

ต่อมาในปี 2549 พี่น้องเกษตรกรตำบลสันผีเสื้อ และองค์การบริหารส่วนตำบล

สันผีเสื้อ ได้เข้าร่วมโครงการอาหารเชียงใหม่ปลอดภัย ซึ่งดำเนินการโดยภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ศูนย์วิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันชุมชนเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรปลอดภัยจากสารพิษในจังหวัดเชียงใหม่อย่างเป็นระบบ เพิ่มทางเลือกการบริโภคให้กับประชาชน ส่งเสริมการผลิตพืชผักในจังหวัดเชียงใหม่ให้มีมาตรฐานในการผลิตที่กว้างขึ้น และประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคทั่วไปมั่นใจในมาตรฐานควบคุมอาหารเชียงใหม่ปลอดภัย จัดระบบข้อมูลการผลิตพืชผักปลอดภัยจากสารพิษที่สามารถตรวจสอบเส้นทางอาหารได้อย่างมีระบบ ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกลุ่มเกษตรกร กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มผู้บริโภค และกลุ่มผู้จำหน่ายเพื่อพัฒนาศักยภาพและเพิ่มมิตรภาพระหว่างกลุ่ม

เมื่อดำเนินการในโครงการดังกล่าว ถึงปี 2550 เกษตรกรตำบลสันผีเสื้อ มีการลด การใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีลง เพิ่มการใช้ปุ๋ยชีวภาพและปุ๋ยคอก ส่งผลให้ผลผลิตมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคในตำบลสันผีเสื้อ สิ่งที่ตามมา คือเกษตรกรมีสุขภาพดีขึ้น จากการตรวจหาสารเคมีตกค้างในร่างกาย พบว่าผลตรวจเลือดของเกษตรกรมีความปลอดภัย เพิ่มขึ้นร้อยละ 68

การตรวจส่วนประกอบของดินที่เพาะปลูกพบว่าดินดีขึ้น ไม่พบสารเคมีตกค้างในดิน

นอกจากนั้น เกษตรกรยังจัดทำแปลงเรียนรู้การเพาะปลูกพืชผักปลอดภัย เพื่อให้

เป็นแหล่งเรียนรู้ โดยมีการจัดตั้งพื้นที่ 4 แห่ง ในหมู่ที่ 2 บ้านป่าข่อยใต้ ต.สันผีเสื้อ ดังนี้ 1. สวนนายนคร คำฟั่น ตั้งอยู่ เลขที่ 233 2. สวนนายประทวน เชื้อทน ตั้งอยู่เลขที่ 198 3. สวนนางจันทรา วงค์คำ ตั้งอยู่เลขที่ 103 4. สวนนายประมิตร ทิพย์โสด ตั้งอยู่เลขที่ 59

ดังนั้นเพื่อให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในพื้นที่ตำบลสันผีเสื้อเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน คณะพี่น้องเกษตรกรตำบลสันผีเสื้อ และองค์การบริหารส่วนตำบลสันผีเสื้อจึงได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการเรียนรู้การผลิตพืชผักปลอดภัยขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นจุดรวบรวมข้อมูลด้านการผลิตและเป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าด้านการเกษตรของเครือข่ายเป็นแหล่งประสานงานเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับคนในชุมชนที่ให้ความสนใจมาศึกษาดูงาน

บทบาทศูนย์ประสานงานการเรียนรู้การผลิตพืชผักปลอดภัย หมู่.2 บ้านป่าข่อยใต้ ต.สันผีเสื้อ

1. เป็นศูนย์รับข้อมูลข่าวสารจากโครงการอาหารเชียงใหม่ปลอดภัยและองค์กรต่าง ๆ

2. เป็นศูนย์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ลูกสมาชิกบุคคลที่ให้ความสนใจ

3. เป็นที่รวบรวมข้อมูลของสมาชิกผู้ผลิตพืชผักปลอดภัยจากสารพิษ บ้านป่าข่อยใต้ ต.สันผีเสื้อ

4. เป็นคลินิกให้คำปรึกษาและการวางแผนการผลิตซึ่งจะมีผู้ที่มีองค์ความรู้ปราชญ์ชาวบ้านและนักวิชาการเกษตรจากเกษตรอำเภอเกษตรจังหวัดและมหาวิทยาลัยมาร่วมให้คำปรึกษาเป็นระยะ

5. เป็นศูนย์จัดการกองทุนปุ๋ยหมัก และกองทุนเมล็ดพันธุ์พืช

ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมด ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพี่น้องชาวตำบลสันผีเสื้อ ทั้งในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู นักเรียน พี่น้องเกษตรกร ทั้ง 9 หมู่บ้าน คณะกรรมการดำเนินงานพื้นที่การเรียนรู้การผลิตพืชผักปลอดภัย และภาคีเครือข่ายโครงการอาหารเชียงใหม่ปลอดภัย สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เกษตรจังหวัดเชียงใหม่ สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ศูนย์วิจัยเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์บริหารศัตรูพืชจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์บริหารจัดการโครงการผักปลอดสารพิษ จังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่

ในวันเปิดศูนย์ได้มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้

1. นิทรรศการแสดงผลผลิต จากเครือข่ายเกษตรปลอดภัยจากสารพิษ เกษตรปลอดสารพิษและเกษตรอินทรีย์ ของตำบลสันทราย อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่

2. นิทรรศการตรวจหาสารเคมีตกค้างในพืชผัก โดย ดร.ธนะชัย พันธุ์เกษมสุข คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

3. นิทรรศการแสดงผลผลิตจากศูนย์วิจัยและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ( MCC )

4. นิทรรศการแสดงผลผลิตจากศูนย์บริหารจัดการโครงการผักปลอดสารพิษ จังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงใหม่ ( MCS )

5. นิทรรศการจากศูนย์บริหารศัตรูพืชจังหวัดเชียงใหม่

6. การจำหน่ายผลผลิตปลอดภัยจากเครือข่ายเกษตรปลอดภัยจากสารพิษ อ.แม่วาง

เปิดศูนย์ประสานงานแหล่งเรียนรู้พืชผักปลอดภัย หมู่.2 บ้านป่าข่อยใต้ ต.สันผีเสื้อ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 26 มีนาคม 2551 เวลา 09.00-12.00 น ณ ตลาดเช้าบ้านป่าข่อยใต้ (ศาลาประชาคม)

ติดประกาศ Friday 11 Apr 08@ 14:41:20 ICT โดย xenon